วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

บริหารกล้ามเนื้อคอให้แข็งแรง รักษาเส้นทางขนส่งที่ทำคัญที่สุดของมนุษย์ ก่อนที่หินปูนจะงอกกดทับเส้นประสาท

บริหารกล้ามเนื้อคอ ก่อนเวลาทำงานซัก 5 นาที กันหน่อยครับ ช่วยให้พวกเราชาวไอที มีสุขภาพที่่ดีได้  ลดการชามือ ชาเท้า อาการออฟฟิศ ซิสโดม โรคสุดฮอทก็ช่วยได้ด้วย


·         การปฏิบัติตน
1.
ไม่อยู่ในอิริยาบถเดียวนาน  
2.
ไม่ก้มหรือเงยมากเกินไป ไม่หมุนคออย่างรวดเร็ว
3.
หลีกเลี่ยงการก้ม, เงย, การนอนศีรษะสูง 
4.
ไม่นั่งค่อม - สัปหงก และไม่นั่งหลับตาขณะรถวิ่ง 
5.
โต๊ะทำงานควรสูงพอกับระดับมือ ศอกสูงกว่าระดับโต๊ะเล็กน้อย เก้าอี้มีที่วางแขน
6.
ลุกและลงนอนโดยใช้ท่านอนตะแคง ขึ้นและลงจากที่นอนโดยใช้ข้อศอกยันพื้น ไม่ควรนอนคว่ำ 
7.
ที่นอนและหมอนแน่นพอดี หมอนกว้างรับส่วนแอ่นของคอในท่านอนหงาย และสูงกว่าระดับไหล่ 
8.
ถ้ามีอาการปวดรุนแรง ใช้น้ำอุ่นประคบ ถ้าไม่ทุเลาควรไปพบแพทย์ 
9.
ถ้ามีอาการปวดห้ามเดินทาง ในถนนที่ขรุขระ มีหลุมบ่อ ห้ามเล่นกีฬาที่กระทบกระเทือนต่อคอ เช่นกระโดดเชือก แบดมินตัน 
10.
บริหารกล้ามเนื้อคอ และไหล่สม่ำเสมอ
อาการปวดคอ และไหล่ เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการที่กล้ามเนื้อคอทำงานมากเกินไป เกิดจากอุบัติเหตุ หรือจากโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนคอ เช่น กระดูกเสื่อม เหล่านี้มีข้อควรระวัง และท่าบริหารคอและไหล่ เพื่อที่จะได้บรรเทาจากการเจ็บปวด

ท่าบริหารคอและไหล่
ท่าที่ 1

วิธีการปฏิบัติ 
1.
หมุนศีรษะไปทางขวาช้า  ค้างไว้ 3 วินาที
2.
หมุนกลับมาหน้าตรง หยุด 
3.
หมุนศีรษะไปทางซ้ายช้า ค้างไว้ 3 วินาที 
4.
ทำ 1 - 3 ซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่ 2

วิธีการปฏิบัติ
1. ก้มศีรษะ พยายามให้คางสัมผัสอกหยุดค้างไว้สักครู่ 
2.
เงยหน้าขึ้นช้า  ไปด้านหลัง เท่าที่จะทำได้ 
3.
ทำ 1 - 2 ซ้ำ 5 ครั้ง

ท่าที่ 3

วิธีการปฏิบัติ 
1.
วางบนหน้าผาก ผลักศีรษะต้านกับมือ โดยศีรษะไม่เคลื่อนไหว ค้างไว้ 10 วินาที 
2.
ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ท่าที่ 4

วิธีการปฏิบัติ 
1.
ประสานมือบริเวณท้ายทอย ผลักศีรษะต้านกับมือ โดยศีรษะไม่เคลื่อนไหวค้างไว้ 10 วินาที 
2.
ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ท่าที่ 5

วิธีการปฏิบัติ 
1.
วางมือขวาที่ด้านขวาของใบหน้า ผลักศีรษะต้านกับมือ โดยศีรษะไม่เคลื่อน ค้างไว้ 10 วินาที 
2.
พัก แล้วเริ่มทำใหม่ ในด้านซ้าย 
3.
ทำ 1 - 2 ซ้ำ 3 รอบ

ท่าที่ 6

วิธีการปฏิบัติ 
1.
เอียงคอไปด้านขวา พยายามให้หูเข้าใกล้ไหล่ หยุดพักสักครู่ เอียงคอกลับในด้านศีรษะตรง
2.
เอียงคอไปด้านซ้าย เช่นกัน คิดเป็น 1 รอบ
3.
ทำซ้ำ ข้อ 1 - 2 ครบ 5 รอบ

ท่าที่ 7

วิธีการปฏิบัติ 
1.
หมุนคอเป็นรูปวงกลมไปด้านขวา 3 รอบ 
2.
หมุนคอรูปวงกลมไปด้านซ้าย 3 รอบ 
3.
หยุดพัก คิดเป็น 1 ครั้ง 
4.
ทำซ้ำ ข้อ 1 - 3 ครบ 3 ครั้ง

ท่าที่ 8

วิธีการปฏิบัติ 
1.
ยกแขน 2 ข้างออกนอกลำตัว งอข้อศอกขนานกับพื้น นิ้วมือเกี่ยวกันดึงต้านกัน นับ 1-10 พัก 
2.
ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ท่าที่ 9

วิธีการปฏิบัติ
1. ยกแขน 2 ข้างออกนอกลำตัว งอข้อศอกขนานกับพื้น ฝ่ามือเสมอกันออกแรงต้านกัน นับ 1-7 
2.
ทำซ้ำ 3 ครั้ง


ท่าที่ 10

วิธีการปฏิบัติ 
1.
ยืนตรง หายใจเข้าลึก  พร้อมกับยกไหล่ขึ้นสูงเท่าที่จะทำได้ 
2.
หายใจออกพร้อมกับลดระดับไหล่ลง 
3.
ทำซ้ำ ข้อ 1 - 2 20 ครั้ง


ข้อควรระวัง
           ท่าบริหารคอและไหล่ทั้ง 10 ท่านี้ ควรเริ่มต้นโดยเคลื่อนไหวช้า และระมัดระวัง อย่าหักโหมหากมีอาการปวดมาก ควรไปพบแพทย์.

           ท่าบริหารนี้จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงโดยไม่ทำให้กระดูกคอเคลื่อนไหวไปกดเส้นประสาท ในทำนองเดียวกัน ท่าบริหารเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของคอได้โดยการเคลื่อนไหวคออย่างช้า ไม่ใช้มือต้าน มักใช้ในรายที่มีอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนือที่ทำให้เดินคอแข็งเหมือนหุ่นยนต์

     "เสียเวลาวันละ 5 - 10 นาที ดีกว่าไปรอหมอที่โรงพยาบาลครั้งละหลาย ๆ ชั่วโมง"

ขอให้เพื่อน ๆ ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมารบกวน 
  
                     : http://kanchanapisek.or.th/kp4/book144/helth.html                

อัลฟาฟ่า ( Alfalfa ) พืชมหัศจรรย์ ได้ชื่อว่า "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล "

คลอโรฟิลล์   “จาก อัลฟาฟ่า”

 


ต้นอ่อนอัลฟาฟ่า
                                                ขนาดกำลังเขียวดีมาก ๆ

ดอกม่วง สวยดี
            จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด  ทั้งจากใต้ น้ำถึงบนพื้นดิน  พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่ สุด  คือ อัลฟาฟ่า เท่านั้น   

                อัลฟาฟ่า  จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืช ตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก  ในบางพื้นที่ระบบราก ของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้ มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือ ป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ   ชาวอาหรับโบราณ รู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี  ก่อนคริสตกาล  โดยใช้เป็น พืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค  จึงถูกขนานนามให้เป็น AL- FAS-FAH-SHA

หรือ  “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”  ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า  มักได้จากส่วนใบและ ลำต้น  ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวด ข้อ (ARTHRITIS)  ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ใน ตับถูกทำลาย  นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า  อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือด สะอาดขึ้น

                อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบ ทั้ง 8 ชนิด  ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน  ลิวซีน  ไลซีน  เมไธโอ นีน  พีนิลอะลานีน  เทรโอนีน  ทริปโตฟาน  และวาลีน  และพบว่ากรดอะมิโนเหล่า นี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้  แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ  นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี 6 ดี  อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส  โปแตสเซียม และแคลเซียม

 
คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL)  เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ

                คลอโรฟิลล์  คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่ หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis)  โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสง อาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหาร ที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช  รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่าง ยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์  คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด  บาง ชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น  แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ แม้ในที่ไม่มีแสง  เช่น ในร่างกายของคน  จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำ งาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน  พบว่า  คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของ พืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง  ทำ ให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย  เพื่อให้ได้สารคลอโร ฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้  ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียว เป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม  อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลาย น้ำไม่ได้  จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น   แต่ด้วย เทคโนโลยีในปัจจุบัน  เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่าง สมบูรณ์และบริสุทธิ์  โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ  ร่าง กายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่  และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิด ละลายน้ำได้  จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร  ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่ หมด  จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย  ผิดกับคลอโรฟิลล์ ชนิดที่ละลายในไขมัน  จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร  แต่จะย่อยและดูดซึม ที่ลำไส้เล็ก  คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสม ไว้ที่ตับ (liver)  ในระยะเวลาหนึ่ง  อาจเกิดอันตรายต่อตับได้  องค์การ อาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำ ได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL)  เท่านั้น  ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของ คน  ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่าง ใด  ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

                ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ด เลือดแดง  ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือด แดงมีเหล็ก (Fe)  จึงทำให้สีของมันต่างกัน  คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่ เม็ดเลือดมีสีแดง  จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า “เลือดของ พืช” (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย  สรุปตรงกัน ว่า  คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้  จนทำให้ผู้วิจัยได้ รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน  คือ ดร.ริชาร์ด วิ นสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER)  ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ใน ปี ค.ศ.1915  และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS  FISHER M.D.)  นายแพทย์ชาว เยอรมัน ในปีค.ศ. 1930   ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและ คลอโรฟิลล์

                ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วย เหล็ก (Fe)  จากอาหารธรรมชาติบางประเภท  ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดง ดีขึ้น  ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโร ฟิลล์  ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg  เข้าไปอุดรูพรุนกระดูก ต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไข กระดูก (Bone Marrow) อยู่  ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มาก ขึ้น  (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างใน กระแสเลือด)  จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผล เปิด  จำนวน 3,600 ราย  พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ ให้เร็วขึ้น  ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลง กว่า 50% หรือมากกว่า  จากกรณีนี้  จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการ เจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น  พบ ว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย  กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่าน ไป 2 สัปดาห์  จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน   สามารถซื้อขายได้ ตามร้านขายยาและอาหารเสริม  ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990
 

คลอโรฟิลล์    ช่วยคุณได้อย่างไร

    จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก  ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์  ดังนี้

    ช่วยให้เลือดสะอาด

    ช่วยให้ตับสะอาด  เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ

    เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย

    ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย

    ลดความดันโลหิต  ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน

    ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน

    บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้  แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ  ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้

    ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้

    ขับสารพิษออกจากร่างกาย  สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ  สารเคมีตกค้างในอาหาร  ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น

    ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง

    แก้ปัญหาคนท้องผูก  ขับถ่ายดีขึ้น  ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้

    ดับกลิ่นตัว  กลิ่นปาก  กลิ่นเท้า  โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น

    แก้ปัญหาอาการชา  บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้

    ชะลอความแก่  ทำให้มีอายุยืน

    ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย  ใช้รักษาแผลอักเสบ  แผลเปื่อย  แผล เรื้อรัง  แผลถลอก  แผลไฟไหม้  เหงือกอักเสบ  แผลในปาก คออักเสบ  โดยใช้ผง คลอโรฟิลล์โรยบนแผล  จะทำให้แผลหายเร็ว

    บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป  ปวดศีรษะไมเกรน

    ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ  ลำไส้อักเสบ  ช่วยสมานแผล

    แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน  ประจำเดือนมาไม่ปกติ

    ควบคุมน้ำหนัก  ลดน้ำหนัก  คลอเรสเตอรอลในเลือด

    มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก  ทำให้การมองเห็นดีขึ้น

    มีสารอาหารบำรุงเส้นผม  ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น  ช่วยลดอาการผมร่วง

    ลดอาการเมาค้าง

    ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์  เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

 

Reference

1.Bohne C.et ol: Interaction of enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to serum albumlns (Photochem Photobiol,  1988 Sep)  (MEDLINE)

2.Acheson DW, et al : Dianostic delay due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE)

3.Chemomorsky SA,et al : Biological actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE)

4.Hooper JK, et al : Photodynamic sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov) (MEDLINE)

อ้างอิงจาก
http://www.unicitycenter.com/article.php?id=8878&lang=th


ขอบคุณที่มา  : http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=12783
     ภาพจาก  : http://www.thaicalory.com/index.php?topic=379.0
                  : http://mlm007.blogspot.com/

หญ้าหวาน (Stevia) พืชที่หวานกว่าน้ำตาลหลายร้อยเท่า

หญ้าหวาน(Stevia)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Stevia rebaudiana Bertoni
ลักษณะ :
เป็นไม้ล้มลุกอายุประมาณ 3 ปี เป็นพุ่มเตี้ย สูง 30-90 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยว รูปใบหอกกลับ ขอบใบหยัก มีรสหวาน มีดอกช่อสีขาว

สรรพคุณเด่น :
ใช้แทนน้ำตาล (หญ้าหวานเป็นพืชที่มีความหวานมากกว่าน้ำตาล 10-15 เท่า สารสกัดจากหญ้าหวาน "สตีวิโอไซท์" มีความหวานกว่าน้ำตาล 100-300 เท่า แต่ไม่ถูกย่อยให้เกิดพลังงาน สามารถใช้แทนน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคไขมันในเส้นเลือดสูง (ไม่ทำให้อ้วน)
ตาราง สรุปคุณสมบัติของสารให้ความหวาน
สารให้ความหวาน รสชาติ ให้พลังงาน
(แคลอรี/กรัม)
เหมาะสำหรับผู้ต้องการคุมน้ำหนัก
และปลอดภัยต่อผู้ป่วย เบาหวาน
ทำให้ฟันผุ หมายเหตุ
ฟรุคโตส อร่อย 4 ไม่เหมาะ ฟันผุ มีมากในน้ำผลไม้
ซอร์บิทอล
ไซลิทอล
อร่อย 2.6 ไม่เหมาะ ไม่ผุ ถ้าบริโภคมากๆอาจทำให้ท้องเสีย
อีริไธทอล อร่อย น้อยกว่า 0.2 ใช่ ไม่ผุ ราคาสูงมาก
ซูคราโลส อร่อย 0 ใช่ ไม่ผุ ราคาสูง
สตีเวีย หรือ
สารสกัดจากหญ้าหวาน
แย่ ถึง ปานกลาง 0 ใช่ ไม่ผุ มีปนรสขมของหญ้า
แอสปาร์แตม ปานกลาง 0 (พลังงานจริงคือ 4 แคลอรี่ แต่เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยมาก
จึงถือว่าเป็น 0)
ใช่ ไม่ผุ ใช้ปรุงอาหารร้อนบนเตาไม่ได้, ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
อะซิซัลแฟม-เค และ
แซคคารีน
แย่ 0 ใช่ ไม่ผุ มีปนรสขมของโลหะ
ที่มา : http://www.on-diet.com/sweetener.asp

ตาราง สรุปคุณสมบัติของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่จำหน่ายในประเทศไทย

ชื่อการค้า
ส่วนประกอบ
ให้พลังงาน
(แคลอรี/ซอง)
อีควล
แอสปาร์แตม, แลกโทส
4
สลิมม่า
แอสปาร์แตม, แลกโทส
4
ฟิตเน่
แอสปาร์แตม, แลกโทส
4
ไลท์ชูการ์
แอสปาร์แตม, น้ำตาลทราย
16
ทรอปิคาน่า
แอสปาร์แตม, ซอร์บิทอล
6
สวิซซี่
แอสปาร์แตม, อะซิซัลเฟม-เค, แลกโทส
4
สวีตเอ็นโลว์*
แอสปาร์แตม, อะซิซัลเฟม-เค, แลกโทส
4
ดี-เอ็ด
ซูคราโลส, อีริไธทอล
น้อยกว่า 0.18
หมายเหตุ * ในต่างประเทศ สวีตเอ็นโลว์ ทำจากขัณฑสกรผสมกับกลูโคส เพื่อให้มีราคาถูก แต่เมื่อนำมาจำหน่ายในประเทศไทย ได้เปลี่ยนส่วนผสมเป็นแอสปาร์แตม!
ที่มา : http://www.on-diet.com/sweetener.asp

ผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ จากหญ้าหวาน





วิธีใช้ในครัวเรือน :
ใช้ใบแห้งใส่แทนน้ำตาล ไม่ควรใส่มากเพราะมีรสหวานมาก

สภาพแวดล้อม :
หญ้าหวานเป็นพืชพื้นเมืองของบราซิลและปารากวัย มีการค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาใต้ เมื่อปี ค.ศ. 1887 โดยมีชาวพื้นเมืองปารากวัย ใช้สารหวานนี้ผสมกับชากินมากว่า 1500 ปี ต่อมาญี่ปุ่นนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 ในประเทศไทยเพิ่งมีการนำมาปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2518 เขตที่ปลูกกันมากได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา แต่ปลูกได้ผลดีที่สุดที่น่าน ภาคเหนือเป็นพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม เนื่องจากหญ้าหวานชอบอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิประมาณ 20-26 องศาเซลเซียส และขึ้นได้ดีเมื่อปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 - 700 ม.
แปรรูป :
นำกิ่งที่ตัดมารูดใบ แล้วนำใบไปตากแดด 2-3 วัน ไม่ควรตากทั้งใบและกิ่งก้าน เพราะจะทำให้ใบไม่สวย มีสิ่งเจือปนมาก เกลี่ยใบให้ทั่วระหว่างที่ตาก เมื่อแห้งสนิทดีแล้วจึงเก็บในภาชนะบรรจุ
ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย

*หญ้าหวาน* ทางเลือกของคนอ้วน

โดย : ผู้จัดการออนไลน์        

ใครที่ชอบความหวานคงต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจไม่น้อย เนื่องจากไม่สามารถเติม “น้ำตาล” ได้ตามใจชอบเหมือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ใช่ว่าจะไร้ทางออกเสียทีเดียว เมื่อมีการค้นพบสรรพคุณของ “หญ้าหวาน” สมุนไพรที่สามารถให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า แถมยังให้พลังงานและแคลลอรี่ต่ำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและคนที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างดี

พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในฐานะเลขานุการมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การค้นพบสารหวานจากสมุนไพรที่มีชื่อว่าหญ้าหวานถือเป็นอีกความสำเร็จหนึ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์ไทยทำได้ เพราะความหวานจากหญ้าหวานนั้น สามารถนำมาใช้แทนน้ำตาล เนื่องจากมีความหวานคล้ายคลึงน้ำตาลมาก

สำหรับหญ้าหวานมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stevia rebaudiana Bertoni จัดอยู่ในวงศ์ Astcraceac เป็นพืชล้มลุกระยะยาว มีลักษณะคล้ายต้นกะเพราหรือต้นแมงลัก เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศบราซิลและปารากวัยในทวีปอเมริกาใต้ มีการนำมาปลูกและเผยแพร่ในไทยเป็นระยะเวลามากกว่า 20 ปี

ในหญ้าหวานมีสารกลัยโคซัยด์(glycosides) 88 ชนิด สารสำคัญคือ Rcbaudiosides A,B,C,D,E ; Dulcoside A และ Stevioside สาร Stevioside ซึ่งเป็นสารหวานคล้ายคลึงกับน้ำตาลทรายมาก โดยปริมาณสูงสุดในหญ้าหวานทั่วไปและเป็นสารที่มีรสหวานจัดจะมีความหวาน ประมาณ 300 เท่าของน้ำตาลซูโครส

การออกรสหวานของสารหวานในหญ้าหวานจะไม่เหมือนกับของน้ำตาลทรายทีเดียว เพราะจะออกรสหวานช้ากว่าน้ำตาลทรายเล็กน้อยและรสหวานจะจางหายไปช้ากว่า น้ำตาลทราย นอกจากนี้ยังเป็นสารที่ไม่มีคุณค่าทางอาหารเพราะมีแคลลอรี่ต่ำมากเมื่อเทียบ กับน้ำตาลทราย เนื่องจากไม่ถูกย่อยให้เกิดพลังงานในร่างกาย และพบอีกว่า สารหวานในหญ้าหวานทนต่อความร้อนและสภาวะความเป็นกรดเป็นด่างได้ดี รวมทั้งยังเป็นสารที่มีพิษเฉียบพลันต่ำและปลอดภัยสูง

พญ.เพ็ญนภาบอกว่า จากคุณสมบัติของสารหวานดังกล่าว ในปัจจุบันมีการนำมาใช้เป็นสารที่ให้ความหวานสำหรับอาหารและเครื่องดื่มบาง ประเภท โดยใช้แทนน้ำตาลทรายบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งวัตถุประสงค์สำคัญคือ ลดปริมาณแคลลอรี่ในอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนหรือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งไม่สามารถบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากๆ ได้ นอกจากนั้น ในหลายประเทศก็มีการยอมรับหญ้าหวานอย่างเป็นทางการ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ บราซิลและปารากวัย ซึ่งชาวปารากวัยและบราซิลก็ยังมีประวัติการบริโภคหญ้าหวานมาเป็นระยะเวลานาน

จากข้อมูลเบื้องต้นน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแพทย์ไทย ที่จะส่งเสริมและแนะนำให้ผู้ป่วยหรือกลุ่มประชาชนที่รักสุขภาพ มีการบริโภคความหวานจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้จากสมุนไพรเพื่อเป็นการลดต้น ทุนหรือลดการนำเข้าสารหวานสังเคราะห์จากต่างประเทศได้

ทั้งนี้ ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อนุญาตให้นำสารสกัด stevioside มาขึ้นทะเบียนเป็นสารหวานแทนน้ำตาลได้
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
สร้างเมื่อ 03 - พ.ย.- 48


หญ้าหวาน : ถึงเวลาหญ้าหวานกู้ชาติ



ฝ่ายวิชาการ สถาบันการแพทย์แผนไทย


หญ้าหวาน เป็นพืชที่มีคุณสมบัติเป็นรสหวานที่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน จึงมีความสำคัญต่อการนำมาใช้กับผู้ที่มีปัญหาทางการเกิดโรค เช่น พวกโรคอ้วน โรคเบาหวาน
          หญ้าหวานเป็นพืชที่มีการกล่าวขวัญกันมานานมาก มีงานวิจัยมากมาย แต่หญ้าหวานก็ไม่เคยที่จะมีข้อสรุปที่จะส่งผลให้ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์ใน ทางเศรษฐกิจกับเขาบ้าง ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น อเมริกา และทั่วโลกต่างเลี่ยงสารหวานอื่นๆ หันมากินหญ้าหวานแทนกัน และประเทศที่ปลูกหญ้าหวานอย่างจีน, บราซิล และอื่นๆ ต่างได้รายได้จากหญ้าหวานเป็นกอบเป็นกำ โดยที่คนไทยไม่มีสิทธิบริโภค เพียงแต่เป็นผู้ส่งออกได้บ้างเล็กน้อย แล้วคนไทยก็มากินสารหวานที่นำเข้าแทนทั้งๆ ที่ชาติอื่นเขากำลังเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเลิกบริโภคสารหวาน ที่เกิดจากการสังเคราะห์ทางเคมี เพราะมีข่าวว่าอาจไม่ปลอดภัย
          ปัญหาหญ้าหวานอยู่ที่ใด คำตอบคือ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่อ้างว่ายังไม่พอ นักวิจัยได้ร่วมกันทบทวนผลงานวิจัย ที่จัดโดยสถาบันการแพทย์แผนไทย เมื่อ 21 เมษายน 2542 ที่กระทรวงสาธารณสุข ได้มีข้อสรุปปัญหาและคำถามว่า
หญ้าหวานคืออะไร ใครกินบ้าง
          หญ้าหวานเป็นพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stevia rebaudiana  Bertoni พืชพื้นเมืองของบราซิล มีการค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาใต้ เมื่อปี 1887  คือ 113 ปีมาแล้ว โดยมีชาวพื้นเมืองปารากวัย ใช้สารหวานนี้ผสมกับชากินมากว่า 1500 ปี ต่อมา ญี่ปุ่นนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ปี 1982 คือ 17 ปีมาแล้ว
หญ้าหวานปลอดภัยหรือไม่
          หญ้าหวานเป็นพืชที่มีความหวานมากกว่าน้ำตาล 10-15 เท่า สารสกัดจากหญ้าหวาน "สตีวิโอไซท์" มีความหวานกว่าน้ำตาล 100-300 เท่า ปัจจุบันไทยปลูกได้ทางภาคเหนือ และมีสายพันธุ์ที่มีคุณภาพ ไทยสกัดสารหวาน สตีวิโอไซด์ได้ด้วยตนเอง โดยทีมนักวิจัย ม.เชียงใหม่ และในไทยมีโรงงานผลิตสารตัวนี้แล้วด้วยซ้ำ
          หญ้าหวานไม่ถูกย่อยให้เกิดพลังงาน นักวิชาการจึงสนใจประเด็นสารสกัดสตีวิโอไซด์ ว่ามีพิษหรือไม่ และควรกินเท่าใดจึงปลอดภัย ซึ่งได้คำตอบว่า สตีวิโอไซด์ ปลอดภัยในทุกกรณี และค่าสูงสุดกินได้ถึง 7.938 มก/กก. น้ำหนัก ซึ่งกินได้สูงมาก ในความเป็นจริง มีผู้บริโภคได้ทั่วไป แค่ 2 มก./ น้ำหนักตัว 1 กก. ก็หวานมากแล้ว เป็นเครื่องยืนยันว่า การบริโภคหญ้าหวานในรูปสตีวิโอไซด์ มีความปลอดภัยสูง แถมได้ผลพลอยได้ คือลดน้ำตาลในเลือด และอาจลดความดันโลหิตได้ด้วย
หญ้าหวานทำให้เป็นหมันจริงหรือ?
          มีรายงานระบุถึงความหน้าเป็นห่วงว่า ชาวปารากวัยกินหญ้าหวานทำให้คุมกำเนิดหรือลดอสุจิลง เป็นเรื่องที่สงสัย ทำให้ประเทศไทยใช้ประเด็นนี้อ้างไม่อนุญาตหญ้าหวานให้คนกิน จากรายงานต่างๆ ที่ประชุมได้สรุปข้อมูลจากรายงานต่างๆ แล้วยืนยันสารสกัดจากหญ้าหวาน คือสตีวิโอไซด์ เมื่อป้อนหนูถึง 3 ชั่วอายุ 3 รุ่น ไม่พบการก่อกลายพันธุ์, แต่อย่างใดยังคงขยายพันธุ์ได้ตามปกติ ญี่ปุ่นกลับไม่กลัวประเด็นนี้ใช้กันมา 17 ปี ไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดพิษแต่อย่างใด
คนไทยกินหญ้าหวานแบบใด?
          คนไทยกินหญ้าหวาน 2 แบบ แบบสมุนไพรมีการนำใบหญ้าหวานผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เพื่อเติมรสหวานในชาสมุนไพรหรือยาชงสมุนไพร และแทนน้ำตาลในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน มีการใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มหมอเมือง กลุ่มสันติอโศก และมีการนำสมุนไพรมาใส่ซองผสมกับสมุนไพรอื่นทั้งๆ ที่มีประกาศห้ามใช้ในประเทศ จึงเป็นเรื่องหนักใจที่หมอเมืองถูกจับซ้ำซากที่พยายามใช้หญ้าหวานในรูปแบบ ดังกล่าว และนักวิจัยที่ทำเรื่องนี้ต่างก็ท้อใจไปตามๆกัน
          คนไทยกลุ่มหนึ่งยังคงใช้สารหวานสังเคราะห์ยี่ห้อดังๆ จากต่างประเทศในรูปแบบโดยตรงและโดยอ้อม คือ ผสมในเครื่องดื่มต่างๆ จากข้อสรุปของ อย. เมื่อได้รับข้อเสนอจากสถาบันฯ ให้ยกเลิกประกาศหลังจากประชุม เมื่อ 21 เมษายน 2542 ที่ประชุมผู้เชี่ยวชาญมีมติว่าหญ้าหวานไม่ปลอดภัยยังไม่ควรเลิกประกาศนั้น เพราะข้อมูลไม่พอเพียง เป็นข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งกับญี่ปุ่น อเมริกา
          ข้ออ้างคืองานวิจัยในรูปแบบสารสกัดหยาบ คือต้มน้ำชงน้ำธรรมดาแบบชาวบ้านกิน มีงานวิจัยสนับสนุนน้อย มีแต่งานวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดสตีวิโอไซด์ เป็นส่วนใหญ่ เป็นข้ออ้างที่ทีมวิจัยชุดแรกที่ประชุมโดยสถาบันฯ ต้องตกตะลึงว่า ประเทศไทยมีมาตรฐานสูงกว่าอเมริกาและญี่ปุ่นมาก หญ้าหวานจึงขมต่อไป และต้องขอชมเชยทีมงานจากเชียงใหม่นำโดย ภก.รศ.ดร.จีรเดช มโนสร้อย , รศ.ดร.ด้วง พุธศุกร์, อจ.ไมตรี สุทธจิตต์ และคณะทั้งหลาย จำนวนกว่า 20 คน ได้กลับไปทบทวนปัญหาอีกครั้งและได้ทำวิจัยเพิ่มเติม เพื่อปิดจุดโหว่หญ้าหวานต่อไป ไม่หยุดยั้งด้วยปรารถนาให้เกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีทางเลือกต่อไป
ผลการวิจัยประเด็นกินแบบชาวบ้านมิใช้สารสกัด ถูกรายงานนำเสนอดังนี้
          สารสกัดโดยน้ำหรือสกัดอย่างหยาบของหญ้าหวานไม่มีผลต่อการก่อกลายพันธุ์ ไม่มีผลต่อการเป็นหมันทั้งในระยะเฉียบพลันหรือเรื้อรัง, และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสมรรถภาพ ตับ ไต และค่าทางโลหิตวิทยา นอกจากนี้ยังได้พิจารณาตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานวัตถุดิบไว้พร้อม นอกจากนี้ยังได้ทดลองเอาหญ้าหวานผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เช่น มะตูม ก็ไม่มีอะไรและถึงความเป็นพิษอันตรายแต่อย่างใด ข้อมูลเหล่านี้ คงทำให้ผู้เชี่ยวชาญ 2-3 คน ยังติดใจอยู่ สบายใจได้มากขึ้น และอาจารย์วีรสิงห์ เมืองมั่น จาก รพ.รามาธิบดี ก็ได้วิจัยหญ้าหวานให้อาสาสมัครแล้วพบว่าปลอดภัย และการใช้หญ้าหวานอย่างปลอดภัย คือ ประมาณ 1-2 ใบต่อเครื่องดื่ม 1 ถ้วยหรือสูงสุดกินได้ถึง 7.9 กรัม / วัน ซึ่งสูงมากเปรียบได้กับกินผสมกาแฟ หรือเครื่องดื่มถึง 73 ถ้วย / วัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับคนเราส่วนใหญ่กิน 2-3 ถ้วย/วัน หญ้าหวานในรูปสมุนไพรมิใช้สารสกัดจึงปลอดภัยมาก
ข้อมูลทางการเกษตร
          หญ้าหวานเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูงประมาณ 30-50 ซม. ลักษณะทั่วๆ ไปคล้ายต้นโหระพา ใบเล็กลำต้นแข็ง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ประเทศไทยปลูกได้ดีช่วงปลายฝนต้นหนาวในที่ดอน เช่น ภาคเหนือสูง 400-1,2000 ม. เหนือระดับน้ำทะเล บางคราวปลูกหลังทำนา 1 ไร่ ใช้ต้นกล้า 10,000-12,000 ต้น ดูแลน้ำอย่างสม่ำเสมอและกำจัดวัชพืช เก็บเกี่ยวใบทุก 3-4 เดือน ได้ผลผลิต 600-1,000 กก. สดต่อไร่ ต่อปี ลงทุน 12,000 / ไร่ จะได้รายได้ 20,000 ไร่ กำไร 8,000 บาทต่อไร่
*จากข้อมูลดังกล่าว หญ้าหวานปลอดภัยทั้งกินแบบสมุนไพร และในรูปแบบสารสกัดสตีรีโงไซค์ สมควรสนับสนุนเป็นพืชเศรษฐกิจครบวงจรต่อไป
ประเด็นการเมือง
          หญ้าหวานมีผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตสารหวานจากการสังเคราะห์อย่างแน่นอน เพราะต้องแบ่งส่วนแบ่งของตลาด สารหวานสังเคราะห์ ซึ่งเป็นของต่างประเทศที่ต้องนำเข้า หรือผลิตโดยนำสารสกัดจากต่างประเทศ รัฐต้องตัดสินใจว่าจะเอาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก หรือบริษัทข้ามชาติเป็นหลัก บริษัทที่ทำสารหวานเคมีน่าจะหันมาช่วยสารหวานจากหญ้าหวานแทน และเข้ามาช่วยดำเนินการด้วยซ้ำไป ให้มีการใช้อย่างกว้างขวางและเข้ามาทำธุรกิจนี้ด้วยก็ได้
          มีผลต่อการผลิตน้ำตาลในประเทศหรือไม่ ไม่น่ามีผลเพราะตลาดคนละส่วนกัน น้ำตาลทราย น้ำตาลปีบ มีรสชาติในการประกอบอาหาร การใช้หญ้าหวานไปแทนน้ำตาลในการใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปเป็นไปได้ยากมาก แทนที่จะขัดแย้งอาจเชิญชวนเกษตรกรปลูกอ้อย ภาคเหนือหันมาปลูกหญ้าหวานบ้าง ก็ยิ่งเป็นรายได้เสริม สามารถแบ่งตลาดสารหวานอีกนอกจากรายได้จากน้ำตาลดังกล่าว
ข้อสรุปเชิงนโยบาย
          ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ การกู้เศรษฐกิจต้องใช้กิจการเกษตร และผลิตภัณฑ์ทางเกษตรเป็นตัวนำ เพราะบ้านเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ชาวเหนือปลูกหญ้าหวาน ก็ไม่ต้องมาล้มละลายขายที่ ขายตัว นำทรัพย์ในดินให้เป็นเงินทอง เจรจากับประเทศที่เราเป็นหนี้รับซื้อหญ้าหวานและสารสกัดจากเราก็เป็นการทำ รายได้เข้าประเทศ และการใช้หญ้าหวานที่เราปลูกได้แทนสารหวานสังเคราะห์ก็จะทำให้ประหยัดเงิน มิให้รั่วไหลในต่างประเทศได้เช่นกัน
ที่มา : http://ittm.dtam.moph.go.th/data_all/herbs/herbal09.htm
ที่มาของผู้รวบรวม : http://www.phoomtai.com/Story005.htm
ขอขอบคุณข้อมูลทุกเวบ

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

หมอที่เก่งที่สุดก็คือตัวเรา และเครื่องมือที่แท้จริงในการบำบัดรักษาโรคคือ ร่างกายของเราเอง

มีคนเขาบอกว่า “หมอที่เก่งที่สุดก็คือตัวเรา
และเครื่องมือที่แท้จริงในการบำบัดรักษาโรคคือ ร่างกายของเราเอง” 

การกัวซา คือ...คำตอบ 


ภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวจีน ชาวเขา กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษจวบจนปัจจุบัน มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการเอาพิษออกจากร่างกายทางผิวหนัง
ปัจจุบันนี้ สังคมเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่สุขภาพของผู้คนกลับถดถอยลง ยิ่งเมื่อประสบภาวะความกดดันและการทำงานที่รีบเร่ง ทำให้ผู้คนมีเวลาออกกำลังกายน้อยลง
เป็นผลให้เซลล์ในร่างกายไม่สามารถทำงานหมุนเวียนได้ราบรื่น ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด และโรคร้ายแรงจากความเจริญก้าวหน้า ยิ่งกว่านั้นโรคที่เกิดจากเซลล์ทำงานผิดปรกติ
ล้วนเป็นโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น “การถอนพิษแบบกัวซา” จึงได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และยังสามารถพึ่งตนเองได้อีกด้วย
การถอนพิษแบบกัวซาคือ การขูดผิวหนังเพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งเสริมการไหลเวียนของพลังปราณในร่างกาย และเป็นการถอนพิษที่ไม่ถูกจำกัดทั้งเวลา
และสถานที่ สามารถทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ เพียงแต่เจียดเวลาวันละไม่กี่นาที ขูดจากศีรษะจนถึงเท้า ก็สามารถกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น กระตุ้นระบบเมตาโบลึซึ่ม
ของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สุขภาพที่แข็งแรง          
กัวซา เพื่อการบำบัดแบบศาสตร์จีนโบราณ
กัวซ่าการนวดบำบัดแบบศาสตร์จีนการนวดบำบัดด้วยกัวซ่า คือการบำบัดแบบแผนโบราณของจีน กัวซ่าเป็นที่รู้จักแพร่หลายมานานนับพันปี     การนวดบำบัดแบบกัวซ่า
สามารถทำได้ทุกที ทุกเวลา ตามที่ต้องการและเกิดผลจริง เพียงใช้แผ่นกัวซ่า ขุดจากศีรษะจนถึงเท้า จะช่วยกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น
เป็นการกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย มีผลต่อร่างกายคือ ทำให้สุขภาพแข็งแรง แก้ปัญหาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว ปวดศีรษะได้ดี
ความนิยมของกัวซาปัจจุบันนี้สังคมเจริญก้าวหน้าเศรษฐกิจรุ่งเรืองแต่สุขภาพของผู้คนกลับถดถอยลงยิ่งเมื่อประสบภาวะความกดดันและการทำงานที่รีบเร่ง
  ทำให้ผู้คนมีเวลาออกกำลังกายน้อยลงเป็นผลทำให้เซลล์ในร่างกายไม่สามารถทำงานหมุนเวียนได้ราบรื่น ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด
และโรคร้ายแรง
จากความเจริญก้าวหน้า  ยิ่งกว่านั้นโรคที่เกิดจากเซลล์ทำงานผิดปกติล้วนเป็นโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ดังนั้นการออกกำลังกายแบบกัวซาจึงได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและยังได้ใส่หลักการแพทย์ที่มีเหตุผลลึกซึ้งรวมเข้าไปด้วยมีการ
ปรับปรุงอุปกรณ์กัวซาให้ดีขึ้นนำวิธีรักษากัวซาแบบโบราณที่เรียบง่ายผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้คนยุคปัจจุบันที่มัวแต่ยุ่งอยู่
กับงานสามารถสัมผัส”การออกกำลังกายแบบกัวซา”ได้อย่างง่ายดาย
การออกกำลังกายแบบกัวซา ที่พอเหมาะส่งผลให้ร่างกายและจิตใจ แข็งแรง กระตุ้นระบบเมตาบอลิซึ่มของร่างกายและช่วยชะลอความแก่ เป็นต้น
คนยุคปัจจุบันทั่วไปที่ยุ่งวุ่นวายทั้งวันมักถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่จนไม่สามารถจัดเวลาไปออกกำลังกายได้ การออกกำลังกายแบบกัวซา
สามารถกระทำได้ทุกเวลาที่ต้องการเพียงแต่เจียดเวลาวันละไม่กี่นาที ขูดจากศรีษะจนถึงเท้าก็สามารถกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนไดดีขึ้น
กระตุ้นระบบเมตาบอลิซึ่มของร่างกายผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพที่แข็งแรง



           ประโยชน์ของกัวซ่า          การนวดบำบัดแบบ กัวซ่ามีประโยชน์ คือ
       1. แก้ปัญหาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว
       2. ช่วยในการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย
       3. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
       4. ทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น สุขภาพดีขึ้น
       5. เสริมความงาม ชลอความแก่
       6. ช่วยบำบัดอาการของโรคต่าง ๆ
       7. ทำให้ค้นพบสาเหตุของโรคต่าง ๆ
       8. สามารถบอกตำแหน่งของโรคที่เกิดขึ้น
       9. ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ
     10. ทำให้สุขภาพดีขึ้น


          จุดเด่นของ กัวซ่า
       1. วิธีนวดบำบัดง่าย เรียนรู้ได้ง่าย
       2. สามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
       3. ไม่มีผลข้างเคียงจากการบำบัด
       4. สามารถบำบัดได้แม้สวมเสื้อผ้าอยู่


      อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการกัวซา
1. ไม้กัวซา ช้อน ชามขอบเรียบ เหรียญ ช่วยขูดถอนพิษร้อน ช่วยเอาพิษออกได้เร็ว
2. ขี้ผึ้ง หรือน้ำมันสมุนไพร ถ้าป่วยจากภาวะร้อนเกิน ให้ได้สมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ขี้ผึ้งย่านาง น้ำมันเขียว ขึ้ผึ้งเสลดพังพอน น้ำมันพืช หรือน้ำ ฯลฯ
    ถ้าป่วยจากภาวะเย็นเกิน ให้ได้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน เช่น ขี้ผึ้งไพร น้ำมันงา ฯลฯ
    (ถ้าอากาศหนาว ๆ หรือช่วงอากาศเย็นในเวลากลางคืน ก็อย่าใช้ขี้ผึ้งสมุนไพรฤทธิ์เย็น เพราะจะทำให้หนาวเข้ากระดูกได้)
     เทคนิคการกัวซา  
1. จัดไม้กัวซา ทำมุม 45  องศา
2.  ที่ตำแหน่งของกระดูกข้อต่อ สามารถขูดผ่านได้ โดยขูดไม่ลงน้ำหนักแรง
3.  พยายามขูดให้ได้พื้นที่ยาว (ส่วนหน้าอก ส่วนท้อง ส่วนใบหน้า ส่วนไหล่  จากนอกเข้าใน ส่วนอื่นๆ จากบนลงล่าง)
4. ระดับของพิษสะสม จากกการศึกษา พบว่าระดับของลมพิษจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
     4.1 พิษสะสมอยู่ในระดับเซลล์เนื้อเยื่อ    วิธีการขูดเอาพิษออก ให้ขูดผ่านผิวหนังได้เลย บริเวณผิวหนังเรียบ
           เช่น ขูดบริเวณแผ่นหลัง ที่เป็นผิวเรียบ ขูดบริเวณใบหน้า แขน ขา ฯลฯ
     4.2 พิษสะสมอยู่ลึกไปถึงล่องกล้ามเนื้อ  วิธีการขูดเอาพิษออก ให้ใช้วิธีแซะ เขี่ย ตามล่องกล้ามเนื้อ ตามล่องกระดูก 
ล่องซีกโครง
           เช่น ปวดตึงตรงบริเวณสะบักทั้ง 2 ข้าง (ที่อยู่แผ่นหลัง ให้อยู่ในท่าเอามือไขว้หลัง ใต้สะบักจะเห็นเป็นล่อง จะช่วยขูดแซะง่ายขึ้น) 

     4.3 พิษสะสมอยู่ลึกไปถึงไขกระดูก เมื่อกระดูกเคลื่อนที่ผิดรูป พิษก็จะเข้าไปฝังอยู่ในไขกระดูก
           เช่น ปวดที่กระดูกก้นกบมาก เราจะต้องกัวซาตรงรูกระดูกก้นกบ เพื่อขับลมพิษออก
           (สาเหตุมาจาก นั่งผิดท่าเป็นเวลานาน และไม่ออกกำลังกาย ยึดกล้ามเนื้อ เ้ส้นเอ็น ทำให้ของเสียไปค้างอยู่เวลานี้มาก และทานอาหารไม่สมดุล)

           วิธีการกัวซา
      1.ไม่ว่าเป็นโรคอะไรก็ตามควรเริ่มขูดที่ชีพจรหลักก่อนจากนั้นจึงขูดจุดที่ป่วย (ชีพจรหลักอยู่ที่แนวกระดูกสันหลังทั้งแกน)
         ควรเริ่มจากด้านซ้ายก่อนเสมอ ขูดจากแผ่นหลังตั้งแต่ต้นคอลงยาวมาจน ถึงเอวให้ลงน้ำหนักเท่าที่จะไม่เจ็บมาก
         ลงน้ำหนักสม่ำเสมอพอสมควรแล้วจึงย้ายมาขูดด้านขวาต่อ
      2. การใช้แรงขูดต้องสม่ำเสมอ บนแนวชีพจรที่ขูดควรขูดจนเห็นรอยจุด(ซา)ปรากฏขึ้นมา จากนั้นจึงขูดตำแหน่งอื่นต่อไป
         (การขูดที่พอดีคือ ขูดให้ผิวมีสีแดงจนกว่าจะไม่แดงไปกว่านั้น)
      3. ปกติหลังจากขูดแล้ว 2-3 วัน ตำแหน่งโรคที่ขูดจะมีอาการเจ็บปวดปรากชกขึ้น  ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติหลังขูดจนซาออกหมดแล้ว ต้องรออีก  5-7  วัน
         จึงจะสามารถขูดซ้ำได้อีก การขูดเพื่อสุขภาพสามารถขูดผ่านเสื้อผ้าได้ทุกวัน
      4. ถ้าตำแหน่งที่ขูดไม่ถูกต้องแม่นยำ  หรือ เทคนิคการใช้มือขูดไม่ถูกต้อง  ก็ไม่ก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนแต่อย่างใด สามารถขูดได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ
      5. หลังขูดแล้วให้ดื่มน้ำ  แก้วใหญ่เพื่อช่วยระบบเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย
      6. สถานที่ขูดกัวซาจะต้องไม่เป็นที่มีลมแรง เช่นหน้าพัดลม หรือในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำเนื่องจากจะทำให้เสียสมดุลของหยินและหยาง 

      7. สามารถทำการกัวซาหลังอาบน้ำไม่น้อยกว่า ๑/๒-๑ ชั่วโมง (เพื่อให้รูขุมขนกลับสู่สภาพปกติ) 
      8. หลังทำกัวซาควรเกิน 5-8 ชั่วโมงขึ้นไป จึงสามารถอาบน้ำได้ หรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหลังกัวซา 30 นาที
อาการพิษสะสม (ดูที่สีผิว)
   1. สีชมพูหรือสีแดงเรื่อ ๆ                         แสดงว่า ดี
   2. เป็นปื้น                                                    แสดงว่า พิษเริ่มสะสม 
   3. เป็นจ้ำเหมือนไข้เลือดออก                 แสดงว่า พิษสะสมนานแล้ว ในทางแพทย์ทางเลือก เรียกว่า ลมแตก
   4. ถ้าเป็นลักษณะช้ำ                                แสดงว่า มีพิษสะสมมาก 
       ยิ่งถ้าช้ำจนถึงขั้นสีม่วงหรือสีดำ      ในทางแพทย์ทางเลือกถือว่า มีพิษมากถึงขั้นมะเร็ง

ซึ่งการตรวจในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอาจพบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เรียบเรียงพบว่า
ผู้ป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง มากกว่า ร้อยละ 80 มักขูดซาพบสีม่วงหรือสีดำ
การกัวซาจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค ไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 7 วัีน รอยแดงนั้นมักจะยุบหายไป

มักจะมีคำถามว่าเมื่อกัวซาแล้วจะกัวซาอีกครั้งเมื่อไหร่ คำตอบก็คือ เมื่อรู้สึกไม่สบายอีกครั้ง ถ้าเป็นผู้ป่วยหนักอาจจะ
กัวซาทุกวันหรือกัวซาวันละหลายครั้งก็ได้ ถ้าการกัวซานั้นทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้น

หมาเหตุ ไม่ควรขูดในจุดที่เป็นแผลฝีหนองหรือจุดที่เมื่อถูกขูดแล้วรู้สึกไม่สบายเจ็บปวดแสบร้อน
ทรมานมากเกินไป แต่สามารถขูดตรงข้ามกับจุดที่ไม่สบายนั้น ๆ ก็สามารถรักษาจุดที่ไม่สบายนั้นได้
  
การนวดหน้าด้วยกัวซ่าเพื่อใบหน้าที่สวยใส อ่อนวัย
   
     การนวดใบหน้าด้วยกัวซ่า ช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นส่งผลให้เซลล์ผิวเกิดความยืดหยุ่นและผิวเรียบเนียน

เป็นการกระตุ้นที่เซลล์ผิวหน้าโดยเพิ่มการหมุนเวียนของออกซิเจน และ เพิ่มการดูดซึมสารอาหารต่างๆ สามารถยกกระชับใบหน้า
ส่วนที่หย่อนคล้อยและมีริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ใบหน้าของคุณสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยช่วยชะลอความแก่ ลดริ้วรอย
การนวดใบหน้าด้วยกัวซ่าสามารถทำใด้ทุกที่ ทุกเวลา ตามที่ต้องการและสามารถเห็นผลได้จริงในทันที


          จุดเด่นของการนวดหน้าด้วยกัวซ่า
      1. วิธีนวดหน้าทำได้ง่าย เรียนรู้เองได้ทันที

      2. สามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
      3. ไม่มีผลข้างเคียงจากการนวดใบหน้า
      4. สามารถทำให้ใบหน้าคุณสวยใสขึ้นทันที
ขอบคุณที่มา : www.morkeaw.net/k-guasa.html

การปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีและไอเดียการจัดวาง


ก่อนอื่นขอบอกว่าข้อมูลก็นำมาจาก internet   คงเป็นประโยชน์แก่ท่านที่สนใจไม่มากก็น้อย

ขั้นตอนการปลูกต้นข้าวสาลีอ่อน 
 
 
1. นำเมล็ดข้าวสาลีใส่ภาชนะ รินน้ำสะอาดใส่ให้ท่วม แช่ทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง
2. เมื่อครบกำหนด 6-8 ชั่วโมงแล้ว รินน้ำออกให้เหลือเพียงหมาดๆ แล้วหากระดาษมาปิดไว้อีก 24 ชั่วโมงเมื่อครบ 24 ชั่วโมงแล้ว จะมีรากงอกออกมา เตรียมนำไปปลูกได้
3. เตรียมภาชนะและดินสำหรับปลูก โดยนำดินมาใส่ภาชนะเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน
4. นำเมล็ดข้าวมาโรยลงบนดินที่เตรียมไว้ โดยพยายามโรยให้เสมอกัน แล้วใช้กระบอกฉีด ฉีดน้ำให้ชุ่ม
5. จากนั้นหากระดาษหนังสือพิมพ์หรือผ้ามาปิดไว้ (วันที่ 1) วางไว้ในที่ร่มก่อน
6. วันที่ 2 จะเห็นว่ามีต้นกล้าเขียว ๆ เริ่มงอกออกมา รดน้ำเช้า - เย็น วางไว้ในที่ร่ม
7. วันที่ 3 ต้นกล้าเริ่มงอกเขียว รดน้ำเช้า - เย็น เหมือนเดิม นำออกมาวางในที่มีแสงแดดรำไร
9. ต้นกล้าอายุ 7 วัน สามารถนำไปให้แมวกิน หรือจะนำมาคั้นน้ำด้วยเครื่องคั้นก็ได้ โดยการนำมาคั้นน้ำตัดให้ถึงโคนต้น ต้นข้าวจะงอกใหม่ได้อีก








ขอบคุณที่มา :: www.grass4cat.com/howto.html




หลากหลายไอเดียกับต้นกล้าข้าวสาลีอ่อน (Wheatgrass)
 
 
ส่วนใหญ่เป็นเว็บไซต์ที่เสริชจากเว็บ Google นะคะ อย่างไรก็ตามเราจะลิ้งก์ไปยังเว็บไซต์ต้นฉบับของเจ้าของงานนั้น ๆค่ะเว็บนี้เป็นเว็บเกี่ยวกับการจัดแต่งดอกไม้ จัดสถานที่ต่าง ๆ นำ Wheatgrass มาช่วยทำให้ บรรยากาศดูสดชื่นขึ้นมากมายเลยเชียว Wheatgrass in Flower Arrangements 
   

เว็บนี้ก็เช่นเดียวกันค่ะ นำ Wheatgrass มาจัดโต๊ะทำให้สวยงามทีเดียว


ที่มา : www.grass4cat.com/idea.html

มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว

ขอสวัสดีปีใหม่ 2554 กันอีกครั้ง
ส่งความสุข สำหรับเพื่อนๆ ทุกท่าน
หายเจ็บหายจน พ้นจากภัยพาลทั้งปวง

khjuk
มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว
khjuk
      ต้นมะพร้าว    
คุณสมบัติน้ำมันมะพร้าว          น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ใดๆเจือปน โดยเฉพาะสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งมักจะมีเจือปนอยู่ในน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวในสภาพที่สกัดได้ตามธรรมชาติทันที โดยไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์ ฟอกสี และกำจัดกลิ่น ดังเช่นน้ำมันพืชอื่นๆ จึงปลอดภัยจากอันตรายของสารเคมี น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่ดีเด่นที่ไม่มีในน้ำมันพืชอื่นใดในโลก ดังต่อไปนี้
เป็นกรดไขมันอิ่มตัว        น้ำมันมะพร้าว ประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว ประมาณ 92% ธาตุคาร์บอน (C) จับกันด้วยพันธะ (bond) เดี่ยว ไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) แทรก ดังนั้น น้ำมันมะพร้าว “อิ่มตัว” ส่วนที่เหลือ (8%) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ที่ C บางตัว จับกันด้วยพันธะคู่ เปิดโอกาสให้ H2 และ O2 แทรกจึง “ไม่อิ่มตัว” ดูสูตรโครงสร้างของน้ำมัน ได้ดังภาพ
โครงสร้างน้ำมันมะพร้าว
สูตรโครงสร้างของน้ำมันอิ่มตัว (บน) เปรียบเทียบกับน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (กลาง) และน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (ล่าง)
        การเติมออกซิเจน (Oxidation) เป็นการะบวนการที่เกิดขึ้นตลอกเวลา ก่อให้เกิดความเสื่อมของโมเลกุล กล่าวคือ เกอดอนุมูลอิสระขึ้นมาจากผลของการเติมออกซิเจน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า “อนุมูลอิสระ” เป็นตัวการของการเกิดโรคแห่งความเสื่อมมากมาย
        การเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) เกิดจากการนำน้ำมันไม่อิ่มตัวไปถูกกับอุณหภูมิสูง เช่น ในการทอดอาหารในน้ำมันท่วม จึงเกิดเป็นสารตัวใหม่ชื่อว่า “ไขมันทรานส์ (Trans fats)” ซึ่งเป็นโมเลกุลที่เปลี่ยนรูปร่างไป และเกิดผลเสียต่อเซลล์ เช่น ทำให้เยื่อบุเซลล์บุบสลาย ทำให้เชื้อโรคหรือสารพิษเข้าไปในเซลล์ได้ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลง DNA ของเซลล์ นอกจากนั้น ยังเกิดจากการนำน้ำมันไม่อิ่มตัวไปเติมไฮโดรเจนเพียงบางส่วนในทางอุตสาหกรรม โดยต้องใช้ความดันและสารแคตาลิสต์เข้าช่วย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวเปลี่ยนเป็นน้ำมันอิ่มตัว เพื่อจะได้ไม่เกิดการหืน (เพราะถูกเติมออกซิเจน) และทำให้น้ำมันอยู่ในรูปที่แข็งตัว ทำให้จับต้องผลิตภัณฑ์อาหารได้สะดวกไม่เหนียวเหนอะหนะ
เป็นกรดไขมันขนาดกลาง
        น้ำมันมะพร้าวมีองค์ประกอบส่วยใหญ่ (62.5%) เป็นกรดไขมันขนาดกลาง (Medium-Chain Fatty Acids – MCFAs) ร่างกายตอบสนองไขมันขนาดต่างๆแตกต่างกัน ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติพิเศษในด้านการแพทย์และโชนาการ การเป็นกรดไขมันขนาดกลางมีข้อได้เปรียบ คือ
       เปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็วน้ำมันมะพร้าวถูกดูดซึมและเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วเมื่อบริโภคเข้าไป จะผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เข้าไปในกระแสเลือด แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ตับอย่างรวดเร็ว (ภายในหนึ่งชั่วโมง) ทำให้ไม่เกอดเป็นไขมันสะสมในร่างกาย
       เพิ่มอัตราเมตาบอลิสซึม น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งอัตราเมตาบอลิสซึม (Metabolism) จากการเพิ่มประสิทธิภาพของต่อมธัยรอยด์ ผลของความร้อนที่เกิดขึ้น (Thermogenic Effect) เกิดขึ้นเป็นเวลานาน (กว่า 24 ชม.) จึงได้พลังงานมากขึ้นและมีอัตราเผาผลาญที่เร็วขึ้น นอกจากตัวมันเองจะถูกเผาผลาญในอัตราที่เร็วแล้ว ยังช่วยเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปพร้อมกัน ทำให้ไม่ไปสะสมเป็นไขมัน อีกทั้งยังไปเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้แต่เดิม ทำให้ร่างกายผอมลง
มีสารฆ่าเชื้อโรค
       น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก (Lauric Acid; C=12) อยู่สูง (48-53%) เมื่อบริโภคเข้าไปในร่างกาย จะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ ชื่อโมโนลอรินที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค Enig (1999) ได้รายงานว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รา ยีสต์ โปรโตซัว และแม้กระทั่งเชื้อไวรัส ผลงานวิจัยของ Dayrit (2000) พบว่า กรดลอริกและโมโนลอรินสามารถช่วยลดปริมาณของเชื้อไวรัส (HIV) ในคนไข้โรคเอดส์ได้ อย่างไรก็ตาม โมโนลอรินก็ไม่สามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้ทุกชนิด จะฆ่าได้ก็เฉพาะเชื้อโรคที่มีเยื่อหุ้มเซลล์ที่เป็นไขมัน เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่ โรคเริม คางทูม โรคซาร์ และโรคเอดส์ การที่โมโนลอรินไม่ฆ่าจุลินทรีย์ทุกชนิดก็เป็นข้อดี เพราะแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในกระเพาะจะไม่ถูกทำลาย
       นอกจากกรดลอริกแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังมีกรดไขมันขนาดกลางอีก 2 ตัว คือ กรดคาปริก (Capric Acid; C-10, 7%) และกรดคาปริลลิก (Capryllic Acid; C-8, 8%) ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เช่นกัน และต่างก็ช่วยเสริมกรดลอริกในการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคแก่ร่างกาย หรือฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้เมื่อปรากฏตัวขึ้น
มีสารแอนตีออกซิแดนต์
       น้ำมันมะพร้าวมีสารแอนตีออกซิแดนต์ (Antioxidant) หลายประเภททีมีประสิทธิภาพสูงและในปริมาณมาก สารเหล่านี้ทำหน้าที่ต่อต้านการเติมออกซิเจน (Oxidation) ที่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่เปลี่ยนสภาพ เพราะสูญเสียอิเล็คตรอนในวงแหวนรอบนอก กลายเป็น “โมเลกุลเกเร” เที่ยวไปโจมตีโมเลกุลอื่นๆ โดยไปดึงอีเล็คตรอนจากโมเลกุลที่อยู่ใกล้เคียงตัวหนึ่ง และโมเลกุลนี้ก็ไปดึงอิเล็คตรอนจากโมเลกุลข้างเคียงอื่นๆต่อไป เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้เซลล์ผิดปกติ เช่น เยื่อบุเซลล์ฉีกขาด ผิวหนังเหี่ยวย่น เปลี่ยนสารพันธุกรรมในนิวเคลียส ทำให้เกิดการกลายพันธุ์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของร่างกายไม่ต่ำกว่า 60 โรค โดยเฉพาะโรคหัวใจ มะเร็ง ไขข้ออักเสบ เบาหวาน ภูมิแพ้ และชราภาพ
       อนุมูลอิสระเกิดจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม และในอาหาร เครื่องดื่ม การสูบบุหรี่ ความเครียด ฯลฯ และโดยเฉพาะในน้ำมันไม่อิ่มตัว ซึ่งจะถูกเติมออกซิเจน (Oxidized) ได้โดยง่ายเพราะมีพันธะคู่ (Double Bond) ในโมเลกุลตั้งแต่เริ่มสกัด ตลอดจนระหว่างทางก่อนถูกนำไปบริโภค จึงเกิดเป็นอนุมูลอิสระได้ง่าย อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ไปลดสารแอนตีออกซิแดนต์ที่มีอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีทีทำให้เกิดผลเสียแก่เซลล์และเนื้อเยื่อ

ดเด่

ที่มา :  www.coconut-virgin.com/miracle_coco.html
       หนังสือ "มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว" โดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา หน้า 6 - 10