วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

อัลฟาฟ่า ( Alfalfa ) พืชมหัศจรรย์ ได้ชื่อว่า "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล "

คลอโรฟิลล์   “จาก อัลฟาฟ่า”

 


ต้นอ่อนอัลฟาฟ่า
                                                ขนาดกำลังเขียวดีมาก ๆ

ดอกม่วง สวยดี
            จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด  ทั้งจากใต้ น้ำถึงบนพื้นดิน  พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่ สุด  คือ อัลฟาฟ่า เท่านั้น   

                อัลฟาฟ่า  จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืช ตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก  ในบางพื้นที่ระบบราก ของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้ มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือ ป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ   ชาวอาหรับโบราณ รู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี  ก่อนคริสตกาล  โดยใช้เป็น พืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค  จึงถูกขนานนามให้เป็น AL- FAS-FAH-SHA

หรือ  “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”  ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า  มักได้จากส่วนใบและ ลำต้น  ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวด ข้อ (ARTHRITIS)  ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ใน ตับถูกทำลาย  นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า  อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือด สะอาดขึ้น

                อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบ ทั้ง 8 ชนิด  ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน  ลิวซีน  ไลซีน  เมไธโอ นีน  พีนิลอะลานีน  เทรโอนีน  ทริปโตฟาน  และวาลีน  และพบว่ากรดอะมิโนเหล่า นี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้  แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ  นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี 6 ดี  อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส  โปแตสเซียม และแคลเซียม

 
คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL)  เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ

                คลอโรฟิลล์  คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่ หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis)  โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสง อาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหาร ที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช  รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่าง ยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์  คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด  บาง ชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น  แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ แม้ในที่ไม่มีแสง  เช่น ในร่างกายของคน  จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำ งาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน  พบว่า  คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของ พืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง  ทำ ให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย  เพื่อให้ได้สารคลอโร ฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้  ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียว เป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม  อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลาย น้ำไม่ได้  จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น   แต่ด้วย เทคโนโลยีในปัจจุบัน  เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่าง สมบูรณ์และบริสุทธิ์  โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ  ร่าง กายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่  และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิด ละลายน้ำได้  จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร  ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่ หมด  จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย  ผิดกับคลอโรฟิลล์ ชนิดที่ละลายในไขมัน  จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร  แต่จะย่อยและดูดซึม ที่ลำไส้เล็ก  คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสม ไว้ที่ตับ (liver)  ในระยะเวลาหนึ่ง  อาจเกิดอันตรายต่อตับได้  องค์การ อาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำ ได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL)  เท่านั้น  ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของ คน  ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่าง ใด  ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

                ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ด เลือดแดง  ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือด แดงมีเหล็ก (Fe)  จึงทำให้สีของมันต่างกัน  คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่ เม็ดเลือดมีสีแดง  จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า “เลือดของ พืช” (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย  สรุปตรงกัน ว่า  คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้  จนทำให้ผู้วิจัยได้ รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน  คือ ดร.ริชาร์ด วิ นสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER)  ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ใน ปี ค.ศ.1915  และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS  FISHER M.D.)  นายแพทย์ชาว เยอรมัน ในปีค.ศ. 1930   ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและ คลอโรฟิลล์

                ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วย เหล็ก (Fe)  จากอาหารธรรมชาติบางประเภท  ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดง ดีขึ้น  ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโร ฟิลล์  ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg  เข้าไปอุดรูพรุนกระดูก ต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไข กระดูก (Bone Marrow) อยู่  ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มาก ขึ้น  (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างใน กระแสเลือด)  จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผล เปิด  จำนวน 3,600 ราย  พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ ให้เร็วขึ้น  ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลง กว่า 50% หรือมากกว่า  จากกรณีนี้  จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการ เจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น  พบ ว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย  กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่าน ไป 2 สัปดาห์  จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน   สามารถซื้อขายได้ ตามร้านขายยาและอาหารเสริม  ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990
 

คลอโรฟิลล์    ช่วยคุณได้อย่างไร

    จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก  ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์  ดังนี้

    ช่วยให้เลือดสะอาด

    ช่วยให้ตับสะอาด  เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ

    เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย

    ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย

    ลดความดันโลหิต  ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน

    ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน

    บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้  แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ  ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้

    ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้

    ขับสารพิษออกจากร่างกาย  สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ  สารเคมีตกค้างในอาหาร  ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น

    ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง

    แก้ปัญหาคนท้องผูก  ขับถ่ายดีขึ้น  ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้

    ดับกลิ่นตัว  กลิ่นปาก  กลิ่นเท้า  โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น

    แก้ปัญหาอาการชา  บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้

    ชะลอความแก่  ทำให้มีอายุยืน

    ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย  ใช้รักษาแผลอักเสบ  แผลเปื่อย  แผล เรื้อรัง  แผลถลอก  แผลไฟไหม้  เหงือกอักเสบ  แผลในปาก คออักเสบ  โดยใช้ผง คลอโรฟิลล์โรยบนแผล  จะทำให้แผลหายเร็ว

    บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป  ปวดศีรษะไมเกรน

    ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ  ลำไส้อักเสบ  ช่วยสมานแผล

    แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน  ประจำเดือนมาไม่ปกติ

    ควบคุมน้ำหนัก  ลดน้ำหนัก  คลอเรสเตอรอลในเลือด

    มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก  ทำให้การมองเห็นดีขึ้น

    มีสารอาหารบำรุงเส้นผม  ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น  ช่วยลดอาการผมร่วง

    ลดอาการเมาค้าง

    ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์  เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

 

Reference

1.Bohne C.et ol: Interaction of enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to serum albumlns (Photochem Photobiol,  1988 Sep)  (MEDLINE)

2.Acheson DW, et al : Dianostic delay due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE)

3.Chemomorsky SA,et al : Biological actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE)

4.Hooper JK, et al : Photodynamic sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov) (MEDLINE)

อ้างอิงจาก
http://www.unicitycenter.com/article.php?id=8878&lang=th


ขอบคุณที่มา  : http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=12783
     ภาพจาก  : http://www.thaicalory.com/index.php?topic=379.0
                  : http://mlm007.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น