หากท่านได้ติดตามผลงานมาโดยตลอดจะเห็นว่าในบทส่งท้ายของทุกๆตอน ผู้เขียนจะเขียนในเชิงกระทบเทียบเปรียบเปรยทำนองว่า อย่าดูแคลนหรืออย่าประมาทคนเวียดนาม เพราะในไม่ช้าเขาจะพัฒนาและแซงประเทศไทย ผู้เขียนมีความเชื่อเช่นนี้จริงๆ จะเห็นได้ว่าวิสัยทัศน์ หรือการคาดคะเน ที่นำเสนอในบทความเกี่ยวกับ การพัฒนาการเกษตรของเวียดนามในอดีตที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน แทบจะไม่มีผิดเพี๊ยนจากที่แสดงไว้เลย มีบางท่านคัดค้านแนวคิดของผู้เขียนว่า เป็นไปไม่ได้ที่เวียดนามจะพัฒนา และแซงหน้าประเทศไทยในไม่ช้า เพราะพื้นที่เพาะปลูกและทรัพยากรของเขามีจำกัด แต่มีสิ่งที่จะยืนยันให้เห็นว่า เวียดนามจะแซงประเทศไทยแน่นอน และอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาพันธุ์ข้าว และการส่งออกข้าว ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามเขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาพันธุ์ข้าวมาก เขาทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาศึกษาวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าว มากกว่าร้อยล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยรัฐบาลให้งบประมาณเพื่อการนี้น้อยมาก น้อยกว่าค่าจัดซื้อสารเคมีกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในหนึ่งฤดูเสียอีก ที่อยู่ได้ก็เพราะอาศัยบุญเก่ากินแท้ๆ อีกไม่เกินห้าปีเวียดนามจะทำเซอร์ไพรส์เรื่องพันธุ์ข้าวให้ชาวโลกได้ชม สำหรับเรื่องส่งออกก็จะสู้เขาไม่ได้ เพราะเรามัวแต่ฟัดกันเอง หรือตุกติกกันอยู่ จนเวียดนามทนรอไม่ไหว ไปจับมือกับเขมรขายข้าวแข่งกับไทย ซึ่งปีนี้ก็แซงหน้าเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับสายเสียทีเดียว เพราะตอนนี้เราก็ไปร่วมจัดตั้งกับเขาบ้างแล้ว
ภาพที่จะนำเสนอให้เห็นต่อไปนี้ ถ้ามองผ่านๆไปเฉยๆโดยไม่ฉุกคิด ก็อาจดูตลกขบขันหรือน่าขัน แต่ถ้าดูทุกภาพและคิดตามไปด้วยว่า แต่ละภาพนั้นให้แง่คิดและมุมมองอะไรแก่เราบ้าง ก็จะเห็นว่า “เวียดนามไม่ธรรมดาเลย” เขาสู้ทุกอย่าง แบบอหิงสา ไม่เคยขอร้อง ขอความเห็นใจ หรือขอความเมตตาจากมนุษย์เผ่าพันธุ์ใด ให้มาช่วยเหลือ สู้อย่างยิบตา สู้ทุกรูปแบบ ด้วยสติปัญญา และพละกำลังที่มีอยู่ ใช้สิ่งของใกล้ตัวที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สงครามเวียดนามโหดเพียงใด โดนกว่า 60 ประเทศรุมยำเป็นสิบปี เวียดนามก็ยังเอาชนะได้ แล้วกับการเกษตรน่ะ มันง่ายกว่าทำสงครามเพียงใด ทำไมจะเอาชนะไม่ได้ เขามีบทเรียนที่เจ็บปวดมากมาย และเขาก็ไม่อยากจะเจ็บปวดอีก เขาพยายามที่จะลืมความเจ็บปวดอันแสนสาหัส และให้อภัยต่อการกระทำของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร(รวมทั้งประเทศไทย ด้วย) ด้วยเหตุผลก็เพื่อให้ประเทศชาติของเขา พัฒนาก้าวหน้าเพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนของเขา แล้วทำไมประเทศไทยซึ่งคุยนักคุยหนาว่าเป็นเมืองพุทธ จะให้อภัยและลืมความเจ็บปวด เพื่อชาติบ้านเมือง และลูกหลานของเรา ในวันข้างหน้าบ้าง ไม่ได้เลยเทียวหรือ ?
เราบริการส่งถึงบ้าน | ||
เป็นแฟนคนจนต้องทนหน่อยน้อง ….ๆๆๆๆ | ||
ทำอย่างไรได้ล่ะคะ ก็ทั้งบ้าน ดันมีแมงกะไซด์คันเดียวเท่านั้น | ||
ทนหน่อยนะน้องหมู ดีกว่าจมน้ำตายนะ | ||
น้อง.. น้อง... แซงรถยนต์คันหน้าเลยน้อง | ||
ระวังเกิดอุบัติเหตุนะ นั่งเฉยๆ นะน้อง มือไม้อย่าซน | ||
บริการส่งพัสดุทุกชนิด ยกเว้นช้าง | ||
มีลูก 2 คน กำลังพอดี | ||
เที่ยวเดียว ก็หมดซอยครับ | ||
เที่ยวเดียว ก็คุ้มครับ | ||
รถโค้ช 1 แรงวัว | ||
นี่ แคมรี่ อีโค เฟรนด์ (CAMRY ECO-FRIEND) รุ่น เปิดประทุน | ||
หมวกกันน็อค รุ่นอเนกประสงค์ | ||
ระวังถนนพัง เพราะบรรทุกเกินน้ำหนัก | ||
ขับให้ดีนะพี่ เดี๋ยวเป็นหม้ายนะ | ||
อย่าขับส่ายไปส่ายมาซิน้อง เดี๋ยวพี่จะตกลงไป | ||
งัยหร่ะรับขนส่งของรัก.....ซะด้วย .......ที่จับเยอะแยะ ทำไมถึงมาจับตรงนี้ล่ะ คุณเหงียน คงเป็นความสุขในการทำงานอย่างหนึ่งรึป่าวเนี๊ยะ เหอ เหอ |
ดูแล้วก็อดขำหรืออดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เห็นไหมครับว่าคนเวียดนามเขาเก่งและสู้ชีวิตเพียงใด พยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขยันประหยัดและช่วยเหลือกันโดยไม่เกี่ยงว่า สมควรเป็นงานที่ผู้หญิงหรือผู้ชายทำ ทำโดยไม่เคยเห็นเขาท้อหรือถอดใจเลย แล้วเราคนไทยล่ะ ทำอย่างเขาได้ไหมเล่า? นั่งรถยนต์ไปราชการจากกรุงเทพจนถึงนครสวรรค์ กว่า 200 กิโลเมตร ไม่พบพานเกษตรไทยถอนหญ้าในนาข้าวสักคน ในขณะที่ในเวียดนาม มองไปทางไหนก็พบแต่ชาวนา ทำงานอยู่ในท้องนาเต็มไปหมด นี่แหละคือที่มาของเรื่องเวียดนามไม่เคยเห็น อย่าลบหลู่
ขอบคุณที่มาข้อมูล : http://www.kasetd.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น