วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

กระชายดำ ชะลอความแก่และบำรุงกำลัง





กระชายดำเป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อน บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตามบริเวณป่าดิบร้อนชื้น แหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปคือ เขตปลูกอำเภอนาแห้ว อำเภอด่านซ้าย และภูเรือ จังหวัดเลย ปัจจุบันปลูกมากในเขตจังหวัดเลย เป็นพืชที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูงมากจึงมีการขยายพื้นที่ปลูกไปยังแหล่ง อื่นๆ เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae เช่นเดียวกับขิงและขมิ้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia parviflora

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กระชายดำแตกต่างจากกระชายทั่วไป (ที่ใช้เป็นเครื่องแกง) คือ กระชายทั่วไปใช้ส่วนที่เป็นราก(tuber) ซึ่งงอกออกมาจากเหง้า (ลำต้นที่อยู่ใต้ดิน) มีกาบใบและใบซ้อนโผล่ขึ้นอยู่เหนือดิน ส่วนกระชายดำมีลำต้นอยู่ใต้ดิน (rhizome)หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหัว ลักษณะคล้ายขิงหรือขมิ้น แต่มีขนาดเล็กกว่า
ใบใหญ่และมีสีเขียวเข้มกว่ากระชายทั่วไป ขนาดใบกว้างประมาณ 7-15 ซม. ยาว 30-35 ซม. ใบมีกลิ่นหอม ประกอบด้วยกาบใบมีสีแดงจางๆ และหนาอวบ กำเนิดมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 ซม.
ดอกออกจากยอด ช่อละหนึ่งดอก มีใบเลี้ยง ดอกมีสีชมพูอ่อน ๆ ริมปากดอกสีขาว เส้าเกสรสีม่วง เกสรสีเหลือง กลีบรองกลีบดอกเชื่อมติดกันมีลักษณะเป็นรูปท่อ มีขน โคนเชื่อมติดกันเป็นช่อยาว เกสรตัวผู้จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมีขนาดยาวเล็ก ยอดของมันเป็นรูปปากแตรเกลี้ยงไม่มีขน
หัวมีสีเข้ม แตกต่างกัน ตั้งแต่สีม่วงจาง ม่วงเข้ม และดำสนิท (ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ความแตกต่างของสีขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม อายุ หรือพันธุกรรม) สีของหัวเมื่อนำไปดองสุราจะถูกฟอกออกมา

พันธุ์

ในปัจจุบันยังไม่มีการรวบรวมและจำแนกพันธุ์อย่างเป็นทางการ แต่หากจำแนกตามลักษณะของสีของเนื้อหัว พอจะแยกได้ 3 สายพันธุ์ คือ
• สายพันธุ์ที่มีเนื้อหัวสีดำ
• สีม่วงเข้ม
• สีม่วงอ่อนหรือสีน้ำตาล
ส่วนใหญ่แล้ว จะพบกระชายที่มีสีม่วงเข้มและสีม่วงอ่อน ส่วนกระชายที่มีสีดำสนิทจะมีลักษณะหัวค่อนข้างเล็ก ชาวเขาเรียกว่า กระชายลิง ซึ่งมีไม่มากนักจัดว่าเป็นกระชายที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการ ของตลาด

แหล่งปลูกที่เหมาะสม
เนื่องจากกระชายดำเป็นพืชดั้งเดิมของชาวเขา จึงเชื่อกันว่ากระชายดำที่ดี มีคุณภาพ จะต้องปลูกบนพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500-700 เมตร เจริญเติบโตและลงหัวได้ดีในดินร่วนทราย มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง ไม่ชอบแดดจัด ชอบแดดร่มรำไร เกษตรกรจึงนิยมปลูกกระชายดำระหว่างแถวไม้ยืนต้น แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล ยืนยันว่าปลูกกลางแจ้งกับปลูกในที่ร่มรำไรมีผลแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในด้านคุณภาพและการเจริญเติบโต

การปลูก
การเตรียมพันธุ์ปลูก
โดยการใช้หัวแก่จัดมีอายุประมาณ 11-12 เดือน ปราศจากเชื้อโรค เก็บไว้ในที่แห้งและเย็นนาน ประมาณ 1-3 เดือน ก่อนเก็บรักษาควรจุ่มหัวพันธุ์ใน สารป้องกันกำจัดเชื้อราโดยใช้ไดโฟลาแทน 80 หรือ แมนเซ็ทดี ผสมน้ำอัตรา 2-4 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ)
ในพื้นที่ 1 ไร่จะใช้หัวพันธุ์ประมาณ 200-250 กก.ขึ้นกับระยะปลูก และขนาดของหัวด้วย

การเลือกหัวพันธุ์
ควรจะใช้พันธุ์ที่มีขนาดเล็ก เนื่องจากในน้ำหนักที่เท่ากันกับหัวขนาดใหญ่ หัวขนาดเล็กจะปลูกได้มากกว่าและควรเลือกหัวพันธุ์ที่มีสีดำหรือม่วงเข้ม ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

ฤดูปลูก
เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม และจะเก็บเกี่ยว ในเดือนธันวาคม-มกราคม กระชายดำจะมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 8-9 เดือน

การเตรียมดิน
ก่อนที่จะมีการไถเตรียมดิน ควรหว่านปูนขาวในอัตรา 100-150 กก.ต่อไร่ เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในดิน
หลังจากนั้นจึงไถกลบปูนขาวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 วัน
เนื่องจากเป็นดินร่วนปนทราย เกษตรกรอาจไถเพียงครั้งเดียว
ก่อนปลูกควรยกเป็นแปลง(ไม่ต้องสูงนัก) ความกว้างของแปลง 1.50-2.0 เมตร ความยาวไม่จำกัด

วิธีการปลูก
ใช้หัวพันธุ์ที่เตรียมไว้แล้วแยกหัวโดยหักออกเป็นข้อๆ ตามรอยต่อระหว่างหัว
ฝังกลบดินให้มิดแต่ไม่ลึกนัก
โดยใช้ระยะปลูกระหว่างแถวxระหว่างหลุม 0.20 X 0.25 เมตร หรือ 0.25 X 0.30 เมตร
ปลูกเสร็จแล้วใช้แกลบหว่านกลบบางๆ อีกชั้นหนึ่ง

การดูแลรักษา
การใส่ปุ๋ย
ใช้ปุ๋ยคอกมูลไก่ผสมแกลบรองพื้น ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 25-30 กก./ไร่ หากดิน มีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว อาจใช้แกลบที่ได้จากการรองพื้นเล้าไก่ก็เป็นการเพียงพอ โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี

การกำจัดวัชพืช
วัชพืชในไร่กระชายไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เนื่องจากกระชายมีระยะปลูกถี่ใบ สามารถคลุมดินป้องกันการงอกของเมล็ดวัชพืชได้ดี หากมีความจำเป็นต้องกำจัดวัชพืชออกให้หมดจากแปลง

การเก็บเกี่ยว
อายุเก็บเกี่ยวของกระชายดำ ประมาณ 8-9 เดือน ซึ่งจะเก็บเกี่ยวในเดือนธันวาคม-มกราคม ในช่วงนี้ สังเกตดูใบจะเริ่มแก่มีสีเหลืองและแห้งตายลงในที่สุด
การเก็บเกี่ยวเร็วก่อนกำหนดจะมีผลต่อคุณภาพโดยเฉพาะของหัวจะไม่เข้ม ซึ่งเป็นกระชายดำที่ตลาดต้องการ (แต่อย่างไรก็ตามอายุการเก็บเกี่ยว จะมีผลต่อสีของหัวกระชายมากน้อยเพียงใดยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการ)

การขุดหัวกระชาย
ถ้ายกเป็นแปลงตอนปลูก จะเก็บเกี่ยวได้ง่าย โดยใช้จอบหรือเสียม ขุดหัวขึ้นมาแล้ว เคาะดินให้หลุดออกจากหัวและราก
เกษตรกรนิยมนำหัวกระชายที่ขุดได้ใส่ถุง แล้วนำไปทำความสะอาดที่บ้าน โดยการปลิดราก ออกจากหัวให้หมดให้เหลือแต่หัวล้วนๆ
(ส่วนรากหรือนมกระชายที่ปลิดออกจากหัวสามารถนำไปจำหน่ายให้พ่อค้าได้)
ผลผลิต
โดยเฉลี่ยหัวพันธุ์ 1 กก. สามารถให้ผลผลิตได้ 5-8 กก. ดังนั้น 1 ไร่ จะได้ผลผลิต ประมาณ 1,000-2,000 กก.

สรรพคุณทางยา
ในปัจจุบัน กระชายดำจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งผู้บริโภค และวงการแพทย์แผนไทย เพราะเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยา ถึงแม้ว่ายังไม่มีรายงานทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่จากประสบการณ์ ของผู้ใช้กระชาย มีรายงานว่าใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุง หัวใจ แก้ใจสั่น แก้บิด แก้ปวดข้อ แก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก ทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้นผิวพรรณผุดผ่องสดใส ขับปัสสาวะแก้โรคกระเพาะ และปวดท้อง เป็นต้น แต่ที่กล่าวกันมากคือ บำรุงกำหนัด จึงได้ฉายาว่า โสมไทย (โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง,2539)

การแปรรูป

ในปัจจุบันนอกจากใช้กระชายดำเพื่อประกอบเป็นตัวยาโดยตรงแล้ว ยังนำไปบดเป็นผง บรรจุซองชงน้ำร้อนดื่มบำรุงสุขภาพ ใช้ดองดื่มเพื่อให้เกิด ความกระชุ่มกระชวย ทำลูกอมและที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ทำ ไวน์กระชายดำ

กระชายดำแบบหัวสด
การรับประทาน : ใช้รากเหง้า(หัวสด) ประมาณ 4-5 ขีด ต่อสุราขาว 1 ขวด ดองสุราขาวดื่มก่อนรับประทานอาหารเย็น ปริมาณ 30 ซีซี. ผู้ที่ดื่มสุราไม่ได้ ให้ฝานเป็นแว่นบางๆ แช่น้ำร้อนดื่มทุกวัน หรือจะดองกับน้ำผึ้งก็ได้ ในอัตราส่วน 1:1

กระชายดำหัวแห้ง
กรรมวิธีการผลิต : การทำกระชายดำแบบฝานเป็นแว่นอบแห้ง ก็โดยการนำหัวสดของกระชายดำไปล้าง ทำความสะอาด นำมาฝานเป็นแว่น แล้วนำเข้าตู้อบ อบให้แห้งที่อุณหภูมิสูง จนแห้งได้ ที่แล้ว จึงนำมา เก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ซึ่งวิธีการนี้ จะช่วยให้เก็บรักษากระชายดำได้นาน การรับประทาน : หากไม่ใช่คอเหล้าที่มักนิยมนำไปดอง กับเหล้าขาวก็มักหั่นเป็น ชิ้น นำไปตากแห้งแล้วมาต้มกับน้ำรับประทาน บางตำราบอกให้นำหัวกระชายดำหั่นตากแห้งสด ไปดองกับน้ำผึ้งแท้ 7 วันนำมาดื่มก่อนนอน อาจจะนำมาปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้
รายละเอียดวิธีใช้ :
• หัวแห้ง ประมาณ 15 กรัม (1 กล่อง) ดองกับเหล้าขาว 1 แบน ผสมน้ำผึ้งเพื่อรสชาดที่ดีขึ้นได้ตามชอบใจ ดื่มก่อนนอนวันละ 30 ซีซี. ( 1 เป็ก)
• หัวแห้ง ดองกับน้ำผึ้งแท้ในอัตราส่วน 1:1
• หัวแห้ง บดเป็นผงละเอียด ผสม น้ำผึ้ง พริกไทยป่น กระเทียมผง บอระเพ็ดผง ในอัตราส่วน 10 : 5 : 2 : 1 : 0.5

กระชายดำแบบชาชง
กรรมวิธีการผลิต : นำหัวกระชายดำที่ฝานเป็นแว่น อบให้แห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วจึงบรรจุซอง กระชายดำแบบชาชง จะไม่มีส่วนผสมอื่นอีก จะมีแต่กระชายดำแท้ 100% เท่านั้น
วิธีใช้ :
• กระชายดำ 1 ซอง ชงน้ำร้อน 1แก้ว (ประมาณ 120 ซีซี.)
ข้อแนะนำ :
• หากต้องการรสชาติที่ดีขึ้น สามารถแต่งรสด้วยน้ำตาล หรือน้ำผึ้ง ตามชอบใจ

ลูกอมกระชายดำ
ศูนย์การศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเลยร่วมกับกลุ่มโซนศรีสองรัก ได้จัดทำ ผลิตภัณฑ์ ลูกอมสมุนไพร เพื่อสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ นาแห้ว จ. เลย
ส่วนประกอบ :
1.กระชายดำ 2.นมสด 3.เนยอย่างดี 4.น้ำตาลทราย 5.แบะแซ

ไวน์กระชายดำ
ตามความหมายในภาษาอังกฤษนั้น ไวน์ (wine) หมายถึง "เหล้าองุ่น"เท่านั้น ตามกระแสนิยม สำหรับคนไทยนั้น คำว่า "ไวน์" หมายถึง ผลไม้ หรือสมุนไพรที่นำมาหมักแล้วได้แอลกอฮอล์ ไม่เกิน 15 ดีกรี ซึ่งกรรมวิธีผลิตก็ทำเช่นเดียวกับไวน์ในต่างประเทศ แต่ในกฎหมายไทยตามพระราชบัญญัติสุราฯ นั้นเรียกว่า "สุราแช่" ดังนั้น อนุโลมที่จะเรียกผลไม้หรือสมุนไพรที่นำมาหมักว่า "ไวน์" และต่อท้ายด้วยชื่อผลไม้หรือสมุนไพรที่นำมาทำเป็นวัตถุดิบนั้น เช่น ไวน์สัปปะรด ไวน์ลูกยอ ไวน์ลูกหม่อน เพราะไม่สามารถที่หาคำใดมาเรียก ได้เหมาะสม และเข้าใจได้ง่าย
 ขอบคุณ กรมวิชาการเกษตร







 ขอบคุณที่ีมาข้ิอมูล  : www.doctor.or.th

                            : http://www.elib-online.com
ภาพประกอบ           : www.majicirisonline.com

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้อปฏิบัติและข้อควรระวังในการเที่ยวป่าหน้าฝน

ข้อปฏิบัติและข้อควรระวังในการเที่ยวป่าหน้าฝน

ท่องเที่ยว

ข้อปฏิบัติและข้อควรระวังในการเที่ยวป่าหน้าฝน (อสท.)


          การ เดินทางท่องเที่ยวสัมผัสธรรมาติ ป่าเขา น้ำตกในฤดูฝน หรือในสภาพอากาศปรวนแปร เอาแน่เอานอนไม่ได้นั้น หากมีการวางแผนการเดินทาง และวิธีปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยที่ดี ก็จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของท่านเป็นไปอย่างมีความสุข และปลอดภัยยิ่งขึ้น

          ข้อปฏิบัติดังกล่าวทำได้ไม่ยาก หากจะลองนำเอาประสบการณ์การเดินทางของนักเดินทางรุ่นก่อน ๆ นำไปใช้กันดู...

          1. ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ด้วยการเข้าไปดูข้อมูลที่เว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th ซึ่งมีรายละเอียดสภาวะอากาศประจำวัน พยากรณ์อากาศในรอบ 3 วัน และในรอบสัปดาห์ แบ่งเป็นภาค กลุ่มจังหวัด ให้ตรวจสอบกันก่อนออกเดินทาง

          2. ตรวจสอบสภาพดินฟ้าอากาศจากภาพถ่ายดาวเทียม ง่าย ๆ ด้วยการเข้าไปที่เว็บไซต์ www.google.com แล้วพิมพ์คำว่า ภาพถ่ายดาวเทียม ทางเว็บไซต์จะค้นหาเว็บไซต์ที่แสดงภาพถ่ายดาวเทียมขึ้นมาให้ท่าน ซึ่งภาพถ่ายดาวเทียมจะแสดงภาพแผนที่ประเทศไทย แสดงภาพกลุ่มเมฆและกลุ่มพายุ ให้เห็นว่าปกคลุมอยู่บริเวณจังหวัดใด มีปริมาณมากน้อยเพียงใด โดยภาพถ่ายดาวเทียมจะเปลี่ยนแปลงทันสมัยทุกวัน ทำให้พอจะประเมินได้ว่า สภาพอากาศบริเวณจังหวัดที่จะเดินทางไปเป็นเช่นใด การเช็คภาพถ่ายดาวเทียมก่อนเดินทางไปนั้น จะเป็นประโยชน์มากกับช่างภาพ เพราะจะสามารถรู้ได้ว่าท้องฟ้าจะสดใสมีแสงแดดหรือไม่ หากบริเวณที่จะเดินทางไปมีกลุ่มเมฆมากหรือมีพายุที่กำลังจะเคลื่อนผ่าน ก็อาจจะเลื่อนการเดินทางออกไป หรือมีการเตรียมตัวและใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น
       
          3. การปฏิบัติตนขณะลงเล่นน้ำตก หรือกิจกรรมอื่น ๆ ในสายน้ำ เช่น ล่องแก่ง ให้สังเกตระดับน้ำในลำธารและสีของสายน้ำ หากน้ำมีระดับเพิ่มขึ้น หรือสีของน้ำเปลี่ยนจากน้ำใสเป็นสีแดงขึ้น ขุ่นขึ้น กระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงขึ้น ให้รีบขึ้นจากสายน้ำทันที หรือหากล่องแก่งก็ให้พักเรือเข้าฝั่ง หยุดพักดูจนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย ระดับน้ำไม่สูงเพิ่มขึ้น จึงค่อยเดินทางต่อ

          4. พยายามสังเกตและฟังเสียงที่ดังผิดปรกติ เพราะน้ำป่าที่เชี่ยวไหลหลากล้นลงมาจากบนภูเขานั้น จะก่อให้เกิดเสียงดังขึ้นกว่าเสียงของสายน้ำปรกติ ซึ่งช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้น อาจเป็นช่วงนาทีชีวิตที่จะสามารถหนีรอดจากน้ำป่าที่บ่าไหลได้ หรือเตรียมตัวมองทางหนีทีไล่ไว้ให้พร้อมเผื่อเกิดวิกฤติขึ้นมาจะได้หนีขึ้น ที่สูงได้ทัน

          5. การลงเล่นน้ำตกควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่อย่างเคร่งครัด เช่น ไม่ลงเล่นน้ำในบริเวณเขตหวงห้าม หรือปีนป่ายขึ้นไปบนพื้นที่อันตราย และควรปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำเตือนของเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสถานที่อย่าง เคร่งครัด

          6. หากมีความจำเป็นต้องเข้าไปตั้งแคมป์ในป่า ไม่ ควรตั้งแคมป์ใกล้ชิดริมลำธารมากเกินไป เพราะในตอนกลางคืนขณะพักผ่อนนอนหลับอาจจะมีน้ำป่าบ่าไหลลงมาก่อให้เกิด อันตรายขึ้นได้ ควรเลือกทำเลตั้งแคมป์ที่ปลอดภัยจากระดับน้ำ หรือพ้นจากหุบเขาที่เคยเป็นร่องน้ำหรือช่องทางน้ำไหล
        
          7. หากอยู่ท่ามกลางฝนตก หรือฟ้าคะนองในธรรมชาติ ควรปิดโทรศัพท์มือถือหรือวิทยุ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดฟ้าฝ่า หากไม่จำเป็นแล้ว การทำกิจกรรมกลางแจ้งไม่ควรสวมเครื่องประดับที่ทำจากโลหะติดตัวไป

          8. ในสายน้ำหรือตามโขดหินริมลำธารที่ส่วนใหญ่เปียกน้ำอยู่ตลอดเวลานั้น ค่อน ข้างจะลื่นควรระมัดระวังในการเดิน และควรใช้รองเท้าที่กระชับ พื้นรองเท้าควรเป็นยางและมีดอกยาง ซึ่งจะเกาะพื้นหินพื้นดินได้ดีกว่ารองเท้าพื้นแข็ง

          9. ไม่ควรอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่เปียก หรืออยู่ในน้ำที่หนาวเย็นเป็นเวลานานเกินไป เพราะร่างกายจะค่อย ๆ สูญเสียความร้อน และอาจจะเป็นตะคริวจมน้ำ หรือเป็นไข้ได้

 ขอบคุณที่มาแหล่งข้อมูล : http://travel.kapook.com/view15417.html
 เรื่อง : วินิจ รังผึ้ง

ชมดอกทานตะวันบานสะพรั่ง ณ ทุ่งทานตะวัน

ชมดอกทานตะวันบานสะพรั่ง ณ ทุ่งทานตะวัน

 

ทุ่งทานตะวัน ลพบุรี

ทุ่งทานตะวัน ลพบุรี

ทุ่งทานตะวัน

ทุ่งทานตะวัน
ทุ่งทานตะวัน

ทุ่งทานตะวัน

ทุ่งทานตะวัน

ทุ่งทานตะวัน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ททท. และ คุณ Eddy

          สายลมพัดอ่อน ๆ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนความสดใสของ "ดอกทานตะวัน" ที่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งท้องทุ่ง ... แค่เอ่ยแบบนี้คงทำให้ใครหลาย ๆ คน คิดอยากจะไปท่องเที่ยว สัมผัสความสวยงามของ "ทุ่งทานตะวัน" อันเลื่องชื่อของจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรีกันแล้วแน่ ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมขออาสาเป็นไกด์ พาไปทัวร์ พร้อม ๆ กับนำเรื่องราวเกี่ยวกับกิจกรรมการท่องเที่ยว "ทุ่งทานตะวัน" มาบอกเล่าเก้าสิบกันค่ะ...

          ทุ่งทานตะวัน ตั้งอยู่ที่บริเวณเขตติดต่อระหว่าง จังหวัดลพบุรี และ จังหวัดสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมากในช่วงฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองทองอร่าม งดงามกว้างไกลสุดสายตาของดอกทานตะวัน บานชูช่อเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็นอย่างมาก


ทุ่งทานตะวัน

ทุ่งทานตะวัน

จังหวัดลพบุรี 

          สำหรับจังหวัดลพบุรีมีการปลูกทานตะวันมากที่สุดในประเทศไทย คือ ประมาณ 200,000 – 300,000 ไร่ ดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม โดยแหล่งที่ปลูกทานตะวัน จะกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล พื้นที่ที่ปลูกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณเขาจีนและใกล้วัดเวฬุวันตำบลโคกตูมอำเภอเมือง การเดินทางลพบุรี ใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน (ลพบุรี - สระบุรี) ถึงกิโลเมตรที่ 4 เลี้ยวซ้าย ไปตามทางหลวงหมายเลข 3017 (ทางไปตำบลโคกตูม) ระยะทางประมาณ 8 กม. จะถึงทางเข้าวัดเวฬุวัน (ด้านซ้ายมือ) เลี้ยวเข้าไปอีกประมาณ 2 กม. จะถึงทุ่งทานตะวัน สำหรับรถโดยสารประจำทาง มีรถสองแถวลพบุรี - วังม่วง ผ่านทางเข้าวัดเวฬุวัน รถออกจากสถานีขนส่งลพบุรี ระหว่างเวลา 06.20 - 17.00 น.

          นอกจากนี้ ยังมีแหล่งปลูกทานตะวันกระจัดกระจาย ไปตามเส้นทางที่จะไปอำเภอพัฒนานิคม บริเวณช่องสาริกา (เข้าทางวัดมณีศรีโสภณ) ริมทางหลวงหมายเลข 21 และบริเวณตำบลชอนน้อย ทางหลวงหมายเลข 3334

กำหนดการท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน จังหวัดลพบุรี ประจำปี 2553

          1. ทุ่งทานตะวัน ชอนน้อย ตำบลชอนน้อย ซอย 20 สาย 4 เขาอ้ายก้าน ต.ชอนน้อย อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี วันจัดงาน 12 – 25 พฤศจิกายน 2553 ขนาดพื้นที่ 120 ไร่, 26 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2553 ขนาดพื้นที่ 100 ไร่ และ 1 – 15 มกราคม 2553 ขนาดพื้นที่ 100 ไร่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณสนิท เจ้าย่าน โทรศัพท์ 089 - 9804690 และ อบต.ชอนน้อย โทรศัพท์ 036 – 491340

          2. ไร่ทานตะวันคุณจำปี กม.30 – 31 ทางหลวง 3017 ซอย 15 – 16 ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี วันจัดงาน ได้แก่ แปลงที่ 1 วันที่ 5 – 20 พ.ย. 53 บริเวณ กม.31-560 (3017) ขนาดพื้นที่ 25 ไร่, แปลงที่ 2 วันที่ 21 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2553 บริเวณ กม.31-400 (3017), แปลงที่ 3 ที่ 4 วันที่ 9 – 23 ธันวาคม 2553 บริเวณ กม.30-00 (3017) และแปลงที่ 5 วันที่ 1 – 20 มกราคม 2554 บริเวณ 31 – 480 (3017) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวัฒนา แย้มเจิม โทรศัพท์ 089 – 8002399

          3. ทุ่งทานตะวันไร่คุณณรงค์ มุกดารา ทางหลวงหมายเลข 3017 ซอย 24 (ก่อนถึงเขื่อน 4 กม.) ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี วันจัดงาน 28 พฤศจิกายน – 25 ธันวาคม 2553 ขนาดพื้นที่ 50 ไร่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณณรงค์ มุกดารา 086 – 0687745 หรือ http://www.sunflower.name/

          4. ทุ่งทานตะวันเขาจีนแล (วัดเวฬุวัน) บริเวณ ทางเข้าวัดเวฬุวัน บ้านท่าเดื่อ ต.นิคมสร้างตนเอง อ.เมือง จ.ลพบุรี วันจัดงาน 3 – 12 ธันวาคม 2553 ขนาดพื้นที่ 1,500ไร่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองยุทธการและการข่าว ศูนย์สงครามพิเศษ โทรศัพท์ 036 - 422774

          5. ทุ่งทานตะวันบาน ไร่คุณปู่ ก.ม. 11 – 12 ถนนหมายเลข 21 อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี วันจัดงาน 5 - 15 ธันวาคม 2553 ขนาดพื้นที่ 50 ไร่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ไร่คุณปู่ โทรศัพท์ 081 - 9472935

          6. ทุ่งทานตะวันบ้านซับราง ตั้งอยู่บริเวณนิคมบ่อ 6 วันจัดงานคือช่วงเดือนธันวาคม 2553 ขนาดพื้นที่ 1,000 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลโคกตูม โทรศัพท์ 036-420842

          ทั้ง นี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี  โทร. 0 3641 3822, กองกิจการพลเรือนศูนย์สงครามพิเศษ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โทร. 0 3642 2774, ที่ว่าการอำเภอพัฒนานิคม โทร. (036) 491258, เกษตรอำเภอเมืองลพบุรี โทร. (036) 411202, 412338 และเกษตรอำเภอพัฒนานิคม โทร. (036) 491133

           

การเดินทาง

          จากลพบุรีใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน (ลพบุรี-สระบุรี) ถึงกิโลเมตรที่ 4 เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 3017 (ทางไปตำบลโคกตูม) ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าวัดเวฬุวัน (ด้านซ้ายมือ) เลี้ยวเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงทุ่งทานตะวัน สำหรับรถโดยสารประจำทาง มีรถสองแถวลพบุรี – วังม่วง ผ่านทางเข้าวัดเวฬุวัน รถออกจากสถานีขนส่งลพบุรี ระหว่างเวลา 06.00 – 17.30 น.

          นอกจากนี้ ยังมีแหล่งปลูกทานตะวันกระจัดกระจายไปตามเส้นทางที่จะไปอำเภอพัฒนานิคม บริเวณช่องสาริกา (เข้าทางวัดมณีศรีโสภณ) ริมทางหลวงหมายเลข 21


ทุ่งทานตะวัน

ทุ่งทานตะวัน


จังหวัดสระบุรี

          จังหวัดสระบุรีได้จัด งานเทศกาลทุ่งทานตะวันบานสะพรั่งทั่วทั้งสระบุรี ประจำปี 2553 ณ บริเวณพื้นที่ในเขตอำเภอวังม่วง และอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี โดยมีกิจกรรมถ่ายภาพ, ชมวิว, ขี่จักรยานชมทุ่งทานตะวัน และการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดสระบุรี อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี โทร. 0 3621 2947 และททท. สำนักงานลพบุรี โทร. 0 3642 2768 - 9 
   
กำหนดการทุ่งทานตะวันบาน จังหวัดสระบุรี ประจำปี 2553


ทุ่งทานตะวัน


         
          อย่าลืมนะคะ ถ้ามีเวลาว่าง...ก็ลองไปสัมผัสความสวยงามของ "ทุ่งดอกทานตะวัน" ตามสโลแกน "เที่ยวไทยคึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก"
 
ขอบคุณที่มาข้อมูล  :: http://travel.kapook.com/view6672.html

แหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงฤดูหนาว

แหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงฤดูหนาว




ขอบคุณที่มาข้อมูล :: http://beau-sujittra.blogspot.com/

10 สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในประเทศไทย

ดูทั้งหมด 178
อันดับที่  10  เกาะตะปู

เกาะตะปู ตั้งอยู่ในบริเวณทะเลด้านนอก ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา คิดเป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานฯตามลำคลองเกาะปันหยีจังหวัดพังงา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย อยู่ทางด้านเหนือในเวิ้งอ่าวของเกาะเขาพิงกัน เกาะตะปู มีลักษณะเป็นเกาะเดี่ยว รูปร่างคล้ายตะปู มีศัพท์เฉพาะทางธรณีวิทยาว่า เกาะหินโด่ง (Stack) การชมเกาะตะปูต้องชมในระยะไกลจากเรือ หรือจากสันดอนของเกาะเขาพิงกัน ไม่สามารถขึ้นไปบนเกาะได้
อันดับที่ 9  เกาะเต่า

 เกาะเต่า มีพื้นที่อยู่ในฝั่งของทะเลอ่าวไทย และอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ลักษณะของ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เกาะเต่า จะมีลักษณะที่โค้งเว้า เหมือนกับเมล็ดถั่ว ซึ่งเกาะเต่า จะตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ เกาะพงัน จ.สุราษฏร์ธานี ระยะทางจากเกาะพงันถึงเกาะเต่า ประมาณสี่สิบห้ากิโลเมตร นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย  ในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะเต่ายังมีเกาะนางยวนซึ่ง เป็นเกาะเล็กๆ ด้านตะวันตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเต่า มีสันทรายเชื่อมต่อกับเกาะเต่าในลักษณะเหมือนทะเลแหวก เป็นแหล่งดำน้ำชมปะการังอีกแห่งหนึ่ง
อันดับที่ 8  อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ในวันที 13 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2521 คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้ประกาศให้ดอยอินทนนท์เป็นอุทยานแห่งชาติ
อันดับ 7 หัวหิน

หัวหิน เป็นอำเภอที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ  สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยเดิมมีชื่อว่า "บ้านสมอเรียง" หรือ "บ้านแหลมหิน" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้ทรงสร้างวังไกลกังวลเพื่อประทับพักผ่อนในฤดูร้อน และปัจจุบันวังไกลกังวลนั้นเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
อันดับ 6 พัทยา

พัทยา หรือ เมืองพัทยา เป็นเขตปกครองพิเศษเขตหนึ่งที่ตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ เมืองพัทยา ฉบับ วันที่ 29 พฤจิกายน พ.ศ. 2521 (เทียบเท่าเทศบาลนคร) ในเขตจังหวัดชลบุรี จัดเป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย  เมืองท่องเที่ยวนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลกโดยเฉพาะหาดทรายที่ ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล จัดได้ว่า
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย มีความสวยงามอีกแห่งของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 140 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของอ่าวไทย ซึ่งพัทยาแบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่ พัทยาเหนือ พัทยากลาง พัทยาใต้ และหาดจอมเทียน
อันดับที่ 5 เกาะ ช้าง 

เกาะ ช้าง เป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย  ที่เกาะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ต เกาะช้างมีโรงแรมและรีสอร์ตมากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำ และด้วยภูมิประเทศที่มีป่าเขาอยู่กลางเกาะ นักท่องเที่ยวจึงสามารถท่องเที่ยวแบบเดินป่า ขี่ช้างก็ได้เช่นกัน
อันดับ 4 เกาะสมุย

เกาะสมุย  เดิมเกาะสมุยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกมะพร้าว ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่อง เที่ยว มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ มากมาย หาดที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนเกาะสมุย คือ หาดเฉวง บริเวณชายหาดยาวประมาณ 7 กิโลเมตร ถ้าได้ลงมือเดินตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาดจะใช้เวลาประมาณถึง 2 ชั่วโมง เพราะการเดินบนผืนทรายไม่เหมือนการเดินบนพื้นดินปรกติ
หาดที่มีความสวยงามเป็นอันดับรองลงมา คือ หาดละไม หาดเชิงมนต์ แหลมโจรคร่ำ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา และหาดตลิ่งงาม นอกจากธรรมชาติที่สวยงามของอำเภอเกาะสมุยแล้ว ยังมีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือ "สปา" หรือการดูแลรักษาสุขภาพโดยการใช้น้ำบำบัด เช่น การอาบ-การแช่น้ำแร่หรือน้ำร้อน
อันดับ 3 หมู่เกาะพีพี

อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้  สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย  เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย 40 ล้านปี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 389.96 ตารางกิโลเมตร หรือ 243,725 ไร่
อันดับที่ 2 หมู่เกาะสิมิลัน

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความสวยงามทั้งบนบกและใต้น้ำ มีปะการังที่สวยงามหลายชนิด สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก สามารถพบปลาที่หายาก เช่น วาฬ โลมา ปลาไหลมอเร่(moray) ช่วงเดือนที่น่าเที่ยวมากที่สุด คือช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนเมษายน นอกจากนั้นจะประกาศปิดเกาะ
อันดับ 1 หาดป่าตอง

หาดป่าตอง อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร นับว่าเป็น สถาน ที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย หาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาด สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านดำน้ำ ร้านขายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว ด้วยชายหาดที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ป่าตองจึงเป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีผู้นิยมมาเยือนมากที่สุด
หาด ป่าตองถูกถล่มโดยคลื่นสึนามิในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547ปัจจุบัน หาดป่าตองเป็นหนึ่งในชายหาดสำคัญที่ได้รับการติดตั้งระบบเตือนภัยสึนามิ มีการซักซ้อมการอพยพและการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะๆ

ขอบคุณแหล่งที่มา : รวมมิตร

ร่าง พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ก๊อปไฟล์ โหลดบิท เจอคุก 3 ปี

ร่าง พ.ร.บ.คอมฯ ฉบับใหม่ ก๊อปไฟล์ - โหลดบิท เจอคุก 3 ปี

                                              
อัปเกรดพ.ร.บ.คอมฯ เพิ่มโทษผู้ดูแลระบบ ก๊อปไฟล์โหลดบิทเสี่ยงคุก  (ไอซีที)

         เปิดตัวร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นใหม่จากกระทรวงไอซีที เพิ่มฟังก์ชั่น "ผู้ดูแลระบบ" โทษมากกว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไป ส่วน ก๊อปปี้ไฟล์ โหลดบิท คุก 3 ปี

         เมื่อวันจันทร์ ที่ 28 มีนาคม 54 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จัดประชุมรับฟังและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ ว่า ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยเชิญตัวแทนผู้ประกอบการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยในการประชุมดังกล่าว มีการแจกเอกสารร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ที่กระทรวงไอซีทีจัดทำขึ้นด้วย
ร่างกฎหมายนี้ เขียนขึ้นเพื่อให้ยกเลิก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ทั้งฉบับ และให้ใช้ร่างฉบับใหม่นี้แทน  อย่างไรก็ดี โครงสร้างของเนื้อหากฎหมายมีลักษณะคล้ายคลึงฉบับเดิม โดยมีสาระสำคัญที่ต่างไป ดังนี้
 ประเด็นที่ 1 เพิ่มนิยาม "ผู้ดูแลระบบ"
         มาตรา 4 เพิ่มนิยามคำว่า "ผู้ดูแลระบบ" หมาย ความว่า "ผู้มีสิทธิเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการแก่ผู้อื่นในการเข้าสู่อิน เทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น"

         ในกฎหมายเดิมมีการกำหนดโทษของ "ผู้ให้บริการ" ซึ่ง หมายถึงผู้ที่ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า การพยายามเอาผิดผู้ให้บริการซึ่งถือเป็น "ตัวกลาง" ในการ สื่อสาร จะส่งผลต่อความหวาดกลัวและทำให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง อีกทั้งในแง่ของกฎหมายคำว่าผู้ให้บริการก็ตีความได้อย่างกว้างขวาง คือแทบจะทุกขั้นตอนที่มีความเกี่ยวข้องในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารก็ล้วนเป็น ผู้ให้บริการทั้งสิ้น

         สำหรับร่างฉบับใหม่ที่เพิ่มนิยามคำว่า "ผู้ดูแลระบบ" ขึ้น มานี้ อาจหมายความถึงเจ้าของเว็บไซต์ เว็บมาสเตอร์ แอดมินระบบเครือข่าย แอดมินฐานข้อมูล ผู้ดูแลเว็บบอร์ด บรรณาธิการเนื้อหาเว็บ เจ้าของบล็อก ขณะที่ "ผู้ให้บริการ" อาจหมายความถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

         ตามร่างกฎหมายนี้ ตัวกลางต้องรับโทษเท่ากับผู้ที่กระทำความผิด เช่น หากมีการเขียนข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง ผู้ดูแลระบบและผู้ให้บริการที่จงใจหรือยินยอมมีความผิดทางอาญาเท่ากับผู้ที่ กระทำความผิด และสำหรับความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การเจาะระบบ การดักข้อมูล หากผู้กระทำนั้นเป็นผู้ดูแลระบบเสียเอง จะมีโทษ 1.5 เท่า ของอัตราโทษที่กำหนดกับคนทั่วไป


 ประเด็นที่ 2 คัดลอกไฟล์ จำคุกสูงสุด 3 ปี 
         สิ่งใหม่ในกฎหมายนี้ คือมีมาตรา 16 ที่ เพิ่มมาว่า "ผู้ ใดสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

         ทั้งนี้ การทำสำเนาคอมพิวเตอร์ อาจหมายถึงการคัดลอกไฟล์ การดาว์นโหลดไฟล์จากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาตรานี้อาจมีไว้ใช้เอาผิดกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หรือเพลง แต่แนวทางการเขียนเช่นนี้อาจกระทบไปถึงการแบ็กอัปข้อมูล การเข้าเว็บแล้วเบราว์เซอร์ดาว์นโหลดมาพักไว้ในเครื่องโดยอัตโนมัติหรือที่ เรียกว่า "แคช" (cache เป็น เทคนิคที่ช่วยให้เรียกดูข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น โดยเก็บข้อมูลที่เคยเรียกดูแล้วไว้ในเครื่อง เพื่อให้การดูครั้งต่อไป ไม่ต้องโหลดซ้ำ) ซึ่งผู้ใช้อาจมิได้มีเจตนาหรือกระทั่งรับรู้ว่ามีกระทำการดังกล่าว

                                      


 ประเด็นที่ 3 มีไฟล์ลามกเกี่ยวกับเด็ก ผิด
         ในมาตรา 25 "ผู้ ใดครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามกที่เกี่ยวข้องกับเด็กหรือเยาวชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

         เป็นครั้งแรกที่มีการระบุขอบเขตเรื่องลามกเด็กหรือเยาวชนโดยเฉพาะขึ้น แต่ อย่างไรก็ดี ยังมีความคลุมเครือว่า ลักษณะอันลามกที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนนั้นหมายความอย่างไร นอกจากนี้ มาตราดังกล่าวยังเป็นการเอาผิดที่ผู้บริโภค ซึ่งมีความน่ากังวลว่า การชี้วัดที่ "การครอบครอง" อาจทำให้เกิดการเอาผิดที่ไม่ เป็นธรรม เพราะธรรมชาติการเข้าเว็บทั่วไป ผู้ใช้ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าการเข้าชมแต่ละครั้งดาว์นโหลดไฟล์ใดมาโดย อัตโนมัติบ้าง และหากแม้คอมพิวเตอร์ถูกตรวจแล้วพบว่ามีไฟล์โป๊เด็ก ก็ไม่อาจหมายความได้ว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ดูผู้ชม

 ประเด็นที่ 4 ยังเอาผิดกับเนื้อหา
         มาตรา 24 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน

         เนื้อความข้างต้น เป็นการรวมเอาข้อความในมาตรา14 (1) และ (2) ของ กฎหมายปัจจุบันมารวมกัน ทั้งนี้ หากย้อนไปถึงเจตนารมณ์ดั้งเดิมก่อนจะเป็นข้อความดังที่เห็น มาจากความพยายามเอาผิดกรณีการทำหน้าเว็บเลียนแบบให้เข้าใจว่าเป็นหน้าเว็บ จริงเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล (phishing) จึง เขียนกฎหมายออกมาว่า การทำข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมถือเป็นความผิด แต่เมื่อแนวคิดนี้มาอยู่ในมือนักกฎหมายและเจ้าหน้าที่ ได้ตีความคำว่า "ข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม" เสีย ใหม่ กลายเป็นเรื่องการเขียนเนื้อหาอันเป็นเท็จ และนำไปใช้เอาผิดฟ้องร้องกันในเรื่องการหมิ่นประมาท ความเข้าใจผิดนี้ยังดำรงอยู่และต่อเนื่องมาถึงร่างนี้ซึ่งได้ปรับถ้อยคำใหม่ และกำกับด้วยความน่าจะเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่น ตระหนกแก่ประชาชน มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

         หากพิจารณาจากประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินคดีคอมพิวเตอร์ที่ผ่าน มา ปัญหานี้ก่อให้เกิดการเอาผิดประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะหลายกรณี รัฐไทยเป็นฝ่ายครอบครองการนิยามความจริง ปกปิดความจริง ซึ่งย่อมส่งผลให้คนหันไปแสดงความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ตแทน อันอาจถูกตีความได้ว่ากระทบต่อความไม่มั่นคงของ "รัฐบาล" ข้อความกฎหมายลักษณะนี้ ยังขัดต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่จำเป็น


 ประเด็นที่ 5 ดูหมิ่น ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
         มาตรา 26 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพ ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น หรือข้อมูลอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลอื่นเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย หรือเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่แท้จริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

         ที่ผ่านมามีความพยายามฟ้องคดีหมิ่นประมาทซึ่งกันและกันโดยใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำนวนมาก แต่การกำหนดข้อหายังไม่มีมาตราใดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่จะใช้ได้อย่างตรงประเด็น มีเพียงมาตรา 14 (1) ที่ระบุเรื่องข้อมูลอันเป็นเท็จดังที่กล่าวมาแล้ว และมาตรา 16 ว่าด้วยภาพตัดต่อในร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ได้สร้างความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ใช้ตั้งข้อหาการ ดูหมิ่นต่อกันได้ง่ายขึ้น

         ข้อสังเกตคือ ความผิดตามร่างฉบับใหม่นี้กำหนดให้การดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทมีโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งที่การหมิ่นประมาทในกรณีปกติ ตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท

                              

 ประเด็นที่ 6 ส่งสแปม ต้องเปิดช่องให้เลิกรับบริการ
         มาตรา 21 ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นจำนวนตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เพื่อประโยชน์ทางการค้าจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเดือดร้อนรำคาญ และโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
         จากที่กฎหมายเดิมกำหนดเพียงว่าการส่งจดหมายรบกวน หากเป็นการส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ถือว่าผิดกฎหมาย ในร่างฉบับใหม่แก้ไขว่า หากการส่งข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับสามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการ บอกรับได้ ทั้งนี้อัตราโทษลดลงจากเดิมที่กำหนดโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท มาเป็นจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ
         ทั้งนี้ ยังต้องตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากการส่งข้อมูลดังกล่าว แม้จะเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเดือดร้อนรำคาญ แต่ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า ก็จะไม่ผิดตามร่างฉบับใหม่นี้

 ประเด็นที่ 7 เก็บโปรแกรมทะลุทะลวงไว้ คุกหนึ่งปี
         มาตรา 23 ผู้ใดผลิต จำหน่าย จ่ายแจก ทำซ้ำ มีไว้ หรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ชุดคำสั่ง หรืออุปกรณ์ที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดตามมาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

         น่า สังเกตว่า เพียงแค่ทำซ้ำหรือมีไว้ซึ่งโปรแกรมที่ใช้เจาะระบบ การก๊อปปี้ดาวน์โหลดไฟล์อย่างทอร์เรนท์ การดักข้อมูล การก่อกวนระบบ ก็มีความผิดจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท เรื่องนี้น่าจะกระทบต่อการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์โดยตรง

 ประเด็นที่ 8 เพิ่มโทษผู้เจาะระบบ
         สำหรับ กรณีการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ เดิมกำหนดโทษจำคุกไว้ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท ร่างกฎหมายใหม่เพิ่มเพดานโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท (เพิ่มขึ้น 4 เท่า)
                                


 ประเด็นที่ 9 ให้หน้าที่หน่วยใหม่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)         ร่างกฎหมายนี้กำหนดหน้าที่ให้หน่วยงานซึ่งมีชื่อว่า "สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)" เรียกโดยย่อว่า "สพธอ." และ ให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Electronic Transactions Development Agency (Public Organization)" เรียกโดยย่อว่า "ETDA" เป็นองค์การมหาชนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงไอซีที

         หน่วยงานนี้เพิ่งตั้งขึ้นเป็นทางการประกาศผ่าน "พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิสก์ พ.ศ. 2554" เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 โดยเริ่มมีการโอนอำนาจหน้าที่และจัดทำระเบียบ สรรหาประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 

         ในร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่นี้ กำหนดให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) มีบทบาทเป็นฝ่ายเลขานุการของ "คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์" ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่กำลังร่างนี้

         นอกจากนี้ หากคดีใดที่ต้องการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดซึ่งอยู่ในต่างประเทศ จะเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด ในร่างกฎหมายนี้กำหนดว่า พนักงานสอบสวนอาจร้องขอให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(องค์การ มหาชน) เป็นผู้ประสานงานกลางให้ได้ข้อมูลมา


 ประเด็นที่ 10 ตั้งคณะกรรมการ สัดส่วน 8 – 3 – 0 : รัฐตำรวจ-ผู้ทรงคุณวุฒิ-ประชาชน
         ร่างกฎหมายนี้เพิ่มกลไก "คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์" ประกอบด้วย

         - นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ

         - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นรองประธานกรรมการ

         - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยระบุตัวบุคคลจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านกฎหมาย วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเงินการธนาคาร หรือสังคมศาสตร์จำนวนสามคน โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี

         คณะกรรมการชุดนี้ ให้ผู้แทนจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(องค์กรมหาชน), สำนักงานกำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (สังกัดกระทรวงไอซีที), สำนักคดีเทคโนโลยี (สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม), และ กลุ่มงานตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำความผิดทางเทคโนโลยี กองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี (บก.สสท.) (สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) เป็นเลขานุการร่วมกัน

         คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ออกระเบียบ ประกาศ ตามที่กำหนดใน พ.ร.บ.นี้ และมีอำนาจเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐาน รวมถึง "ปฏิบัติการอื่นใด" เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ โดยให้ถือว่าคณะกรรมการและอนุกรรมการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/57813

ขอขอบคุณข้อมูลจาก