วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ดอกไม้กินได้ - ดอกกระเจี๊ยบ
ดอกไม้กินได้ - ดอกกระเจี๊ยบ
ดอกกระเจี๊ยบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa
ชื่อวงศ์ Malvaceaeชื่อสามัญ Rosella, Red Sorrel, Jamaica Sorrelชื่อท้องถิ่น ภาคเหนือเรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยว แม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตากเรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลางเรียก กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ทั่วไปเรียก กระเจี๊ยบแดงลักษณะทั่วไปกระเจี๊ยบแดง เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายในการปลูกใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมดสรรพคุณทางยารสเปรี้ยวของดอกกระเจี๊ยบทำให้ชุ่มคอ ช่วยย่อยอาหาร หล่อลื่นลำไส้ นำกลีบเลี้ยงและกลีบรองมาตากแห้ง บดเป็นผงละเอียด ชงกับน้ำร้อนครั้งละ 1 ช้อนชา ดื่ม 3 เวลา เช้า กลางวันและเย็น แก้อาการขัดเบา เป็นยากัดเสมหะ นอกจากนี้ยังสามารถลดไขมันในเลือดได้อีกด้วยรายการอาหารแกงส้มกระเจี๊ยบ ยำดอกกระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเชื่อม กระเจี๊ยบแช่อิ่ม แยมดอกกระเจี๊ยบแกงส้มดอกกระเจี๊ยบเครื่องปรุง- กุ้งนาง ½ ก.ก.- ดอกกระเจี๊ยบแดง 10 ดอก - น้ำส้มมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ - น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนชา - น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง เครื่องปรุงน้ำพริก- พริกแห้ง 5 เม็ด- พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด - หัวหอมแดง 3 หัว - กระเทียม 6 กลีบ - เกลือป่น 1 ช้อนชา - กะปิ 1 ช้อนชา วิธีทำนำมากุ้งผ่าหลังเอาเส้นดำออก นำดอกกระเจี๊ยบมาแกะกลีบหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำเครื่องน้ำพริกแกงส้มโขลกให้ละเอียด ใส่กุ้ง 2 ตัวโขลกให้เข้ากัน ใส่น้ำ 3 ถ้วยตวงในหม้อ นำน้ำพริกที่โขลกแล้วละลาย ขึ้นตั้งไฟพอเดือดใส่น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาล ชิมให้รสเปรี้ยว เค็ม หวาน รสเปรี้ยวอ่อนๆ เพราะดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยวอยู่แล้ว ใส่ดอกกระเจี๊ยบ ใส่กุ้งสดที่เหลือต้นจนสุก ยกลงรับประทานได้ยำดอกกระเจี๊ยบเครื่องปรุง- กลีบดอกกระเจี๊ยบ 2 ถ้วยตวง- กุ้งสด ½ ถ้วยตวง - หอมหัวใหญ่ซอย ½ ถ้วยตวง - กระเทียมซอย 1 ช้อนโต๊ะ - พริกเหลือหั่นขวาง 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ - ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำใส่กุ้ง (ปอกเปลือกลวกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ) น้ำปลา มะนาว หอมหัวใหญ่ กระเทียมซอย พริกเหลือง กลีบกระเจี๊ยบ (ซอยละเอียด) ลวกพอสุก คลุกให้เข้ากัน จัดใส่จานโรยผักชีน้ำกระเจี๊ยบแดงเครื่องปรุง- ดอกกระเจี๊ยบแดงสด 1 ถ้วยตวง- น้ำ 6 ถ้วยตวง - น้ำตาลทราย 4 ถ้วยตวง - เกลือป่น ½ ช้อนชา วิธีทำดอกกระเจี๊ยบแดงสด ล้างน้ำให้สะอาด ตัดเอาแต่รอบนอก กลีบสีแดงส่วนกลางแข็งไม่ใช้ หั่นใส่ถ้วย 1 ถ้วยตวง ใส่น้ำ 6 ถ้วยตวง ลงในหม้อ ตั้งไฟต้มให้เดือดจนกระเจี๊ยบเปื่อย จึงกรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออกใส่น้ำตาล เกลือ ต้มแล้วจะเหลือประมาณ 5 ถ้วยตวง ตักใส่แก้ว ใส่น้ำแข็งทุบ ดื่มเป็นเครื่องดื่ม หรือแช่ตู้เย็นไว้ดื่มดอกกระเจี๊ยบแช่อิ่มเครื่องปรุง- ดอกกระเจี๊ยบแดงสด 20 ดอก- น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง - เกลือป่น ½ ช้อนโต๊ะ - น้ำ 2 ถ้วยตวง - น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง วิธีทำนำกระเจี๊ยบแช่ในน้ำปูนใส ใส่เกลือแช่ไว้ 1 คืน แล้วนำมาแช่น้ำเปล่า 1 คืน ให้คืนความเค็มสงขึ้นจากน้ำ เคี่ยวน้ำตาลกับน้ำให้เป็นน้ำเชื่อมแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ใส่กระเจี๊ยบลงแช่ค้างคืน สงขึ้นตากแดด แล้วนำน้ำเชื่อมไปอุ่น แล้วจึงแช่กระเจี๊ยบในน้ำเชื่อม ทำประมาณ 4 วัน จนกระเจี๊ยบใสกรอบ จึงนำมารับประทานได้แยมดอกกระเจี๊ยบเครื่องปรุง- ดอกกระเจี๊ยบสด ½ ก.ก.- น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง - น้ำ 2 ถ้วยตวง วิธีทำฉีกดอกกระเจี๊ยบเป็นกลีบๆ แกะเอาเมล็ดออก นำกลีบดอกกระเจี๊ยบสดมาต้มกับน้ำ แล้วกรองเอาแต่น้ำ 2 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง ใส่หม้อเคี่ยวจนเหนียวเป็นวุ้น ใส่ขวดที่ล้างด้วยน้ำร้อน คว่ำจนแห้ง ใส่แยมกระเจี๊ยบเก็บไว้ในตู้เย็น สำหรับทาขนมปังรับประทาน |
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
การปลูกพืชในน้ำแห่งแรกของโลก
ปลูกพืชในทะเลสาป แห่งแรกของโลก อยู่ข้างบ้านเรานี่เอง
ขอบคุณมาก http://www.kasetd.com/sakda7.html ที่นำขู้อมูลที่ดีมานำเสนอ
ชาวเวียดนามสู้ทุกอย่าง อีกไม่นานไทยจะโดนแซง
กว่าสิบปีที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสนำพานักท่องเที่ยว นักธุกิจ เกษตรกร นักการเมือง และผู้บริหารระดับสูงจากหลายกระทรวง ไปศึกษาดูงาน ด้านการเกษตร ที่เวียดนามมากกว่า 500 คน โดยเฉพาะเวียดนามตอนใต้ จนจำไม่ได้ว่า ไปเวียดนามมากี่ครั้งแล้ว ได้เขียนบทความที่เกี่ยวกับการเกษตร การลงทุน และท่องเที่ยวเชิงเกษตรไว้มากมาย ปรากฏในนิตยสารหลายฉบับ รวมทั้งในเว็ปไซต์อีกเป็นจำนวนมาก ได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่เวียดนามก็หลายครั้ง มีเพื่อนชาวเวียดนามนับพันคน จนกล้าที่จะกล่าวได้ว่า มีความชำนาญด้านการเกษตรของเวียดนาม ในระดับที่หาคนเทียบยากในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หากท่านได้ติดตามผลงานมาโดยตลอดจะเห็นว่าในบทส่งท้ายของทุกๆตอน ผู้เขียนจะเขียนในเชิงกระทบเทียบเปรียบเปรยทำนองว่า อย่าดูแคลนหรืออย่าประมาทคนเวียดนาม เพราะในไม่ช้าเขาจะพัฒนาและแซงประเทศไทย ผู้เขียนมีความเชื่อเช่นนี้จริงๆ จะเห็นได้ว่าวิสัยทัศน์ หรือการคาดคะเน ที่นำเสนอในบทความเกี่ยวกับ การพัฒนาการเกษตรของเวียดนามในอดีตที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน แทบจะไม่มีผิดเพี๊ยนจากที่แสดงไว้เลย มีบางท่านคัดค้านแนวคิดของผู้เขียนว่า เป็นไปไม่ได้ที่เวียดนามจะพัฒนา และแซงหน้าประเทศไทยในไม่ช้า เพราะพื้นที่เพาะปลูกและทรัพยากรของเขามีจำกัด แต่มีสิ่งที่จะยืนยันให้เห็นว่า เวียดนามจะแซงประเทศไทยแน่นอน และอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาพันธุ์ข้าว และการส่งออกข้าว ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามเขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาพันธุ์ข้าวมาก เขาทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาศึกษาวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าว มากกว่าร้อยล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยรัฐบาลให้งบประมาณเพื่อการนี้น้อยมาก น้อยกว่าค่าจัดซื้อสารเคมีกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในหนึ่งฤดูเสียอีก ที่อยู่ได้ก็เพราะอาศัยบุญเก่ากินแท้ๆ อีกไม่เกินห้าปีเวียดนามจะทำเซอร์ไพรส์เรื่องพันธุ์ข้าวให้ชาวโลกได้ชม สำหรับเรื่องส่งออกก็จะสู้เขาไม่ได้ เพราะเรามัวแต่ฟัดกันเอง หรือตุกติกกันอยู่ จนเวียดนามทนรอไม่ไหว ไปจับมือกับเขมรขายข้าวแข่งกับไทย ซึ่งปีนี้ก็แซงหน้าเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับสายเสียทีเดียว เพราะตอนนี้เราก็ไปร่วมจัดตั้งกับเขาบ้างแล้ว
ภาพที่จะนำเสนอให้เห็นต่อไปนี้ ถ้ามองผ่านๆไปเฉยๆโดยไม่ฉุกคิด ก็อาจดูตลกขบขันหรือน่าขัน แต่ถ้าดูทุกภาพและคิดตามไปด้วยว่า แต่ละภาพนั้นให้แง่คิดและมุมมองอะไรแก่เราบ้าง ก็จะเห็นว่า “เวียดนามไม่ธรรมดาเลย” เขาสู้ทุกอย่าง แบบอหิงสา ไม่เคยขอร้อง ขอความเห็นใจ หรือขอความเมตตาจากมนุษย์เผ่าพันธุ์ใด ให้มาช่วยเหลือ สู้อย่างยิบตา สู้ทุกรูปแบบ ด้วยสติปัญญา และพละกำลังที่มีอยู่ ใช้สิ่งของใกล้ตัวที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สงครามเวียดนามโหดเพียงใด โดนกว่า 60 ประเทศรุมยำเป็นสิบปี เวียดนามก็ยังเอาชนะได้ แล้วกับการเกษตรน่ะ มันง่ายกว่าทำสงครามเพียงใด ทำไมจะเอาชนะไม่ได้ เขามีบทเรียนที่เจ็บปวดมากมาย และเขาก็ไม่อยากจะเจ็บปวดอีก เขาพยายามที่จะลืมความเจ็บปวดอันแสนสาหัส และให้อภัยต่อการกระทำของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร(รวมทั้งประเทศไทย ด้วย) ด้วยเหตุผลก็เพื่อให้ประเทศชาติของเขา พัฒนาก้าวหน้าเพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนของเขา แล้วทำไมประเทศไทยซึ่งคุยนักคุยหนาว่าเป็นเมืองพุทธ จะให้อภัยและลืมความเจ็บปวด เพื่อชาติบ้านเมือง และลูกหลานของเรา ในวันข้างหน้าบ้าง ไม่ได้เลยเทียวหรือ ?
ดูแล้วก็อดขำหรืออดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เห็นไหมครับว่าคนเวียดนามเขาเก่งและสู้ชีวิตเพียงใด พยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขยันประหยัดและช่วยเหลือกันโดยไม่เกี่ยงว่า สมควรเป็นงานที่ผู้หญิงหรือผู้ชายทำ ทำโดยไม่เคยเห็นเขาท้อหรือถอดใจเลย แล้วเราคนไทยล่ะ ทำอย่างเขาได้ไหมเล่า? นั่งรถยนต์ไปราชการจากกรุงเทพจนถึงนครสวรรค์ กว่า 200 กิโลเมตร ไม่พบพานเกษตรไทยถอนหญ้าในนาข้าวสักคน ในขณะที่ในเวียดนาม มองไปทางไหนก็พบแต่ชาวนา ทำงานอยู่ในท้องนาเต็มไปหมด นี่แหละคือที่มาของเรื่องเวียดนามไม่เคยเห็น อย่าลบหลู่
ขอบคุณที่มาข้อมูล : http://www.kasetd.com
หากท่านได้ติดตามผลงานมาโดยตลอดจะเห็นว่าในบทส่งท้ายของทุกๆตอน ผู้เขียนจะเขียนในเชิงกระทบเทียบเปรียบเปรยทำนองว่า อย่าดูแคลนหรืออย่าประมาทคนเวียดนาม เพราะในไม่ช้าเขาจะพัฒนาและแซงประเทศไทย ผู้เขียนมีความเชื่อเช่นนี้จริงๆ จะเห็นได้ว่าวิสัยทัศน์ หรือการคาดคะเน ที่นำเสนอในบทความเกี่ยวกับ การพัฒนาการเกษตรของเวียดนามในอดีตที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน แทบจะไม่มีผิดเพี๊ยนจากที่แสดงไว้เลย มีบางท่านคัดค้านแนวคิดของผู้เขียนว่า เป็นไปไม่ได้ที่เวียดนามจะพัฒนา และแซงหน้าประเทศไทยในไม่ช้า เพราะพื้นที่เพาะปลูกและทรัพยากรของเขามีจำกัด แต่มีสิ่งที่จะยืนยันให้เห็นว่า เวียดนามจะแซงประเทศไทยแน่นอน และอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาพันธุ์ข้าว และการส่งออกข้าว ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามเขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาพันธุ์ข้าวมาก เขาทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาศึกษาวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าว มากกว่าร้อยล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยรัฐบาลให้งบประมาณเพื่อการนี้น้อยมาก น้อยกว่าค่าจัดซื้อสารเคมีกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในหนึ่งฤดูเสียอีก ที่อยู่ได้ก็เพราะอาศัยบุญเก่ากินแท้ๆ อีกไม่เกินห้าปีเวียดนามจะทำเซอร์ไพรส์เรื่องพันธุ์ข้าวให้ชาวโลกได้ชม สำหรับเรื่องส่งออกก็จะสู้เขาไม่ได้ เพราะเรามัวแต่ฟัดกันเอง หรือตุกติกกันอยู่ จนเวียดนามทนรอไม่ไหว ไปจับมือกับเขมรขายข้าวแข่งกับไทย ซึ่งปีนี้ก็แซงหน้าเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับสายเสียทีเดียว เพราะตอนนี้เราก็ไปร่วมจัดตั้งกับเขาบ้างแล้ว
ภาพที่จะนำเสนอให้เห็นต่อไปนี้ ถ้ามองผ่านๆไปเฉยๆโดยไม่ฉุกคิด ก็อาจดูตลกขบขันหรือน่าขัน แต่ถ้าดูทุกภาพและคิดตามไปด้วยว่า แต่ละภาพนั้นให้แง่คิดและมุมมองอะไรแก่เราบ้าง ก็จะเห็นว่า “เวียดนามไม่ธรรมดาเลย” เขาสู้ทุกอย่าง แบบอหิงสา ไม่เคยขอร้อง ขอความเห็นใจ หรือขอความเมตตาจากมนุษย์เผ่าพันธุ์ใด ให้มาช่วยเหลือ สู้อย่างยิบตา สู้ทุกรูปแบบ ด้วยสติปัญญา และพละกำลังที่มีอยู่ ใช้สิ่งของใกล้ตัวที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สงครามเวียดนามโหดเพียงใด โดนกว่า 60 ประเทศรุมยำเป็นสิบปี เวียดนามก็ยังเอาชนะได้ แล้วกับการเกษตรน่ะ มันง่ายกว่าทำสงครามเพียงใด ทำไมจะเอาชนะไม่ได้ เขามีบทเรียนที่เจ็บปวดมากมาย และเขาก็ไม่อยากจะเจ็บปวดอีก เขาพยายามที่จะลืมความเจ็บปวดอันแสนสาหัส และให้อภัยต่อการกระทำของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร(รวมทั้งประเทศไทย ด้วย) ด้วยเหตุผลก็เพื่อให้ประเทศชาติของเขา พัฒนาก้าวหน้าเพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนของเขา แล้วทำไมประเทศไทยซึ่งคุยนักคุยหนาว่าเป็นเมืองพุทธ จะให้อภัยและลืมความเจ็บปวด เพื่อชาติบ้านเมือง และลูกหลานของเรา ในวันข้างหน้าบ้าง ไม่ได้เลยเทียวหรือ ?
เราบริการส่งถึงบ้าน | ||
เป็นแฟนคนจนต้องทนหน่อยน้อง ….ๆๆๆๆ | ||
ทำอย่างไรได้ล่ะคะ ก็ทั้งบ้าน ดันมีแมงกะไซด์คันเดียวเท่านั้น | ||
ทนหน่อยนะน้องหมู ดีกว่าจมน้ำตายนะ | ||
น้อง.. น้อง... แซงรถยนต์คันหน้าเลยน้อง | ||
ระวังเกิดอุบัติเหตุนะ นั่งเฉยๆ นะน้อง มือไม้อย่าซน | ||
บริการส่งพัสดุทุกชนิด ยกเว้นช้าง | ||
มีลูก 2 คน กำลังพอดี | ||
เที่ยวเดียว ก็หมดซอยครับ | ||
เที่ยวเดียว ก็คุ้มครับ | ||
รถโค้ช 1 แรงวัว | ||
นี่ แคมรี่ อีโค เฟรนด์ (CAMRY ECO-FRIEND) รุ่น เปิดประทุน | ||
หมวกกันน็อค รุ่นอเนกประสงค์ | ||
ระวังถนนพัง เพราะบรรทุกเกินน้ำหนัก | ||
ขับให้ดีนะพี่ เดี๋ยวเป็นหม้ายนะ | ||
อย่าขับส่ายไปส่ายมาซิน้อง เดี๋ยวพี่จะตกลงไป | ||
งัยหร่ะรับขนส่งของรัก.....ซะด้วย .......ที่จับเยอะแยะ ทำไมถึงมาจับตรงนี้ล่ะ คุณเหงียน คงเป็นความสุขในการทำงานอย่างหนึ่งรึป่าวเนี๊ยะ เหอ เหอ |
ดูแล้วก็อดขำหรืออดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เห็นไหมครับว่าคนเวียดนามเขาเก่งและสู้ชีวิตเพียงใด พยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขยันประหยัดและช่วยเหลือกันโดยไม่เกี่ยงว่า สมควรเป็นงานที่ผู้หญิงหรือผู้ชายทำ ทำโดยไม่เคยเห็นเขาท้อหรือถอดใจเลย แล้วเราคนไทยล่ะ ทำอย่างเขาได้ไหมเล่า? นั่งรถยนต์ไปราชการจากกรุงเทพจนถึงนครสวรรค์ กว่า 200 กิโลเมตร ไม่พบพานเกษตรไทยถอนหญ้าในนาข้าวสักคน ในขณะที่ในเวียดนาม มองไปทางไหนก็พบแต่ชาวนา ทำงานอยู่ในท้องนาเต็มไปหมด นี่แหละคือที่มาของเรื่องเวียดนามไม่เคยเห็น อย่าลบหลู่
ขอบคุณที่มาข้อมูล : http://www.kasetd.com
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เถาเผาถ่าน Super 84
คุณ ประวิทย์ นิลวิเชียร คณะทำงาน โครงการรักษ์ป่า สร้างคน 84 ตำบล วิถีพอเพียง ตำบลป่าคลอก อำเภอกลาง จังหวัดภูเก็ต เป็นคนหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมเครือข่ายรักษ์ป่า สร้างคน วิถีพอเพียง ภาคใต้ ณ ตำบลต้นยวนที่ผ่านมา ทีมงานแอบเห็นพี่เขานั่งยิ้มพูดคุยต้อนรับผู้คนมากมายที่เข้ามาสอบถามเรื่อง เตาเผาถ่าน 200 ลิตร ที่เพิ่มความพิเศษ ซูเปอร์ เข้าไป
ทำไมต้อง ซูเปอร์ แล้ว ซูเปอร์ ต่างจากเตาเผาถ่าน 200 ลิตร ธรรมดาอย่างไร...?
แต่เดิมชุมชนป่าคลอกมีการเผาถ่านแบบขุดหลุมผี (แบบดั้งเดิม) โดยวางผืนในหลุมให้แน่นนำหญ้ามาคลุมอัดให้แน่นเช่นกัน แล้วใช้สังกะสีปิดทับด้านบน แล้วก็จุดไฟเผาจากด้านบน ซึ่งได้ถ่านน้อยและใช้เวลามาก
หลังจากนั้นได้ประยุกต์รูปแบบเตาเผาถ่านใหม่ให้เหมาะกับสภาพพื้นที่และใช้ เวลาให้น้อยลงโดยนำเตาเผาถ่าน 200 ลิตรทั่วไป มาพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และใช้ชื่อว่า เตาเผาถ่าน 200 ลิตร แบบยืน รุ่นซูเปอร์ 84
เตาเผาถ่านรุ่นซูเปอร์ 84 ตั้งตามชื่อโครงการรักษ์ป่าฯ ซึ่งพัฒนาให้เป็นระบบความร้อนตามหลักของชีวมวล โดยเพิ่มอุปกรณ์หลัก 3 ส่วนเพื่อช่วยในการเผาไหม้ ดังนี้
1. ตะแกรงเหล็ก ความสูงจากฐานเตา 8 เซนติเมตร เพื่อคั่นไม้ฟืนกับฐานเตา
2. ท่อนทรงกรวยเส้นผ่านศูนย์กลางฐาน 8 นิ้ว เส้นผ่านศูนย์กลางด้านบน 6 นิ้ว ความสูงของท่อ 30.5 เซนติเมตร ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ตามหลักชีวมวล หรือการเผาควัน
3. ครีบเกลียวขนาด 1 1/8 นิ้ว จำนวน 3 ใบ เพื่อช่วยเร่งในการเผาไหม้ให้เร็วขึ้น
หลักการทำงาน
เมื่อจุดไฟจากด้านล่างของเตา ความร้อนจะสลายโครงสร้างทางชีวเคมีที่อยู่ในเนื้อไม้จนเกิดเป็นแก๊สเชื้อ เพลิง จากนั้นความร้อนจะลอยขึ้นสู่ด้านบนท่อทรงกรวย ความร้อนจะเผาแก๊สเชื้อเพลิงจนเกิดไฟลุกไหม้และพุ่งสู่ด้านบนของเตา ทำให้หญ้าที่อัดไว้ด้านบนติดไฟ และทำให้ความร้อนกระจายไปยังไม้ฟืนได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งครีบในท่อทรงกรวยจะช่วยเร่งให้เผาถ่านได้เร็ว สามารถลดระยะเวลาให้น้อยลงทำให้ใบไม้ ใบหญ้ากลายเป็นถ่าน และยังได้น้ำส้มควันไม้เช่นเดียวกับเตาเผาถ่านทั่วไป
ขั้นตอนการเผา
1. เรียงไม้แนวตั้ง (ความยาวไม่เกิน 60 ซม. ความชื้นไม้เกินร้อยละ 30 ด้านหนาของไม้อยู่ด้านล่าง) ใส่หญ้าสดอัดบนเตาจนแน่น แล้วปิดฝาให้สนิท
2. เติมน้ำในท่อทั้ง 3 ท่อ เพื่อหล่อเย็นใช้สกัดน้ำส้มควันไม้
3. จุดเตา ใส่ฟืนหน้าเตา จนกระทั่งหมดควัน หรือเป็นควันใส แล้วปิดปากปล่องด้านบน ให้ควันออกทางท่อ ด้านข้าง
4. เมื่อหมดควันทั้ง 3 ท่อ ปิดฝาท่อ ปิดปากเตาทิ้งไว้ให้เย็น
5. เติมน้ำ เพื่อให้เย็นเร็วขึ้น
6. ปิดปากเตา ทิ้งเตาให้เย็น
7. นำถ่านออกมาใช้ตามต้องการ ส่วนถ่านจากหญ้าสามารถนำไปผสมดินเพื่อปรับสภาพดิน
ข้อควรระวัง : ควันที่พุ่งออกมาจากการเผาหญ้ามีโอกาสติดไฟ
ภาพละเอียดให้ คลิกที่นี่
ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ
วารสารจดหมายข่าวรักษ์ป่า สร้างคน 84 ตำบล
http://phuket.energy.go.th , วิถีพอเพียง และ วิชาการ.คอม
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554
บ้านต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
บ้านต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Alnwick Garden : Newcastle
บ้าน หลังนี้ ตั้งอยู่ที่ Alnwick Garden ใน Northumberland County ทางตอนเหนือของเมือง Newcastle ไป 50 ไมล์ ด้วยขนาดพื้นที่ใหญ่ถึง 6,000 ตารางฟุต จึงนับเป็นบ้านต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไป เป็นบ้านต้นไม้แบบผสม คือโครงสร้างหลักทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้น สร้างล้อมต้นไม้หลายๆต้นเข้าไว้ด้วยกัน และใช้โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด ทั้ง Canadian Cedar, Scandinavian Redwood และ English and Scots pine รวมทั้งวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ก็เป็นวัสดุธรรมชาติ การสร้างบ้านต้นไม้ลักษณะนี้ จะได้พื้นที่ใหญ่มาก สามารถทำเป็นบ้านพักอาศัยหลังใหญ่ๆได้เลย เหมาะกว่าบ้านต้นไม้แบบอื่นๆ ที่ทำได้เล็กๆ ใช้งานแค่เอามันเท่านั้น
Alnwick Garden สร้างบ้านต้นไม้นี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ใช้งานเป็นบ้านอยู่อาศัย เพียงแต่เรียกชื่อว่าบ้านต้นไม้ตามลักษณะของมัน เขาสร้างเพื่อใช้เป็นที่รองรับกิจกรรมต่างๆ ของผู้มาเที่ยวสวน นอกจากตัวกระท่อมแล้ว ยังมี ห้องค้นคว้าข้อมูลที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยล่าสุดทุกชนิด 2 ห้องคือ the Nest และ the Roost โดยจัดเป็นโปรแกรมเสริมการเรียนรู้สำหรับเยาวชน ทั้งทางด้าน วิทยาศาสตร์ ศิลปะ สุขอนามัย โดยเฉพาะทางธรรมชาติคือโลกของต้นไม้ ให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติ อย่างสนุกสนาน
โครง สร้างที่รับตัวบ้าน เป็นแบบพิเศษ มีฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก (ซ่อนหลบอยู่ใต้ดิน) รับกลุ่มตอม่อ 8ท่อน ที่แผ่กระจายไปรับคานบ้านอีกทีหนึ่ง ส่วนเสาบ้านก็มาตั้งอยู่บนปลายคาน เป็นวิธีการท่สลับซับซ้อน ดูแปลกตา แต่ค่าก่อสร้างก็แพงตามความยุ่งยากไปด้วย
ส่วน ภัตตาคารและจัดเลี้ยงขนาด 2,000 ตารางฟุต ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้บรรยากาศของบ้านต้นไม้ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นทะลุผ่านหลังคาขึ้นไป โดยมีการออกแบบฉากกั้นใบไม้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้กิ่งไม้ ใบไม้ร่วงหล่นลงมาข้างใน เมนูอาหารส่วนหนึ่งก็บรรจุรายการอาหารของท้องถิ่น เข้าไป เพื่อช่วยส่งเสริมการผลิตของท้องถิ่นอีกด้วย
นอก จากนี้ ยังมีร้านค้าของที่ระลึก บริเวณเด็กเล่น สะพานแขวน และทางเดินเชื่อมลักษณะต่างๆ แม้กระทั่งทางลาดสำหรับคนพิการ ก็มีให้เข้ามาร่วมในกิจกรรมต่างๆได้ โดยที่นี่สามารถรองรับคนพร้อมๆกันทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 440 คน
นอก จากนี้ ในอนาคตทาง Alnwick Garden ยังมีแผนที่จะสร้าง ส่วนผจญภัยในดงไม้เพิ่มเติม เพื่อเป็นสวนสนุก สำหรับเด็กๆทั้งหลาย ที่จะต้องออกแบบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์ในการเล่น เช่นสะพานเชือกเขาวงกต ทางเดินลอยฟ้า หุบผาธรรมชาติจำลอง และส่วนที่ออกแบบพิเศษสำหรับเด็กเล็ก และเด็กพิการ รองรับเด็กๆและผู้ปกครองได้ถึง 1,000 คน ในเมืองไทยเรา ยังตามหลังเขาอยู่ในด้านการศึกษา ตอนนี้แค่ขยับเรื่องการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อยู่ เพราะล้าหลังเขามาก แต่ในด้านธรรมชาติ ก็น่าจะเริ่มได้แล้ว ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะสิ่งแวดล้อมนับวันมีแต่จะเสื่อมโทรมลง
ทำอะไรที่ก้าวทันเขา หรือล้ำหน้าเขาบ้าง ไม่ได้เชียวหรือ ประเทศไทย !!!
ขอบคุณข้อมูล : http://www.bloggang.com
เรื่องจาก
http://www.alnwickgarden.com/about_The_garden/features_treehouse.asp
http://damncoolpics.blogspot.com/2007_04_01_archive.html
http://www.thetreehouseguide.com/alnwick/alnwick.htm
Alnwick Garden : Newcastle
บ้าน หลังนี้ ตั้งอยู่ที่ Alnwick Garden ใน Northumberland County ทางตอนเหนือของเมือง Newcastle ไป 50 ไมล์ ด้วยขนาดพื้นที่ใหญ่ถึง 6,000 ตารางฟุต จึงนับเป็นบ้านต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไป เป็นบ้านต้นไม้แบบผสม คือโครงสร้างหลักทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้น สร้างล้อมต้นไม้หลายๆต้นเข้าไว้ด้วยกัน และใช้โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด ทั้ง Canadian Cedar, Scandinavian Redwood และ English and Scots pine รวมทั้งวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ก็เป็นวัสดุธรรมชาติ การสร้างบ้านต้นไม้ลักษณะนี้ จะได้พื้นที่ใหญ่มาก สามารถทำเป็นบ้านพักอาศัยหลังใหญ่ๆได้เลย เหมาะกว่าบ้านต้นไม้แบบอื่นๆ ที่ทำได้เล็กๆ ใช้งานแค่เอามันเท่านั้น
Alnwick Garden สร้างบ้านต้นไม้นี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ใช้งานเป็นบ้านอยู่อาศัย เพียงแต่เรียกชื่อว่าบ้านต้นไม้ตามลักษณะของมัน เขาสร้างเพื่อใช้เป็นที่รองรับกิจกรรมต่างๆ ของผู้มาเที่ยวสวน นอกจากตัวกระท่อมแล้ว ยังมี ห้องค้นคว้าข้อมูลที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยล่าสุดทุกชนิด 2 ห้องคือ the Nest และ the Roost โดยจัดเป็นโปรแกรมเสริมการเรียนรู้สำหรับเยาวชน ทั้งทางด้าน วิทยาศาสตร์ ศิลปะ สุขอนามัย โดยเฉพาะทางธรรมชาติคือโลกของต้นไม้ ให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติ อย่างสนุกสนาน
โครง สร้างที่รับตัวบ้าน เป็นแบบพิเศษ มีฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก (ซ่อนหลบอยู่ใต้ดิน) รับกลุ่มตอม่อ 8ท่อน ที่แผ่กระจายไปรับคานบ้านอีกทีหนึ่ง ส่วนเสาบ้านก็มาตั้งอยู่บนปลายคาน เป็นวิธีการท่สลับซับซ้อน ดูแปลกตา แต่ค่าก่อสร้างก็แพงตามความยุ่งยากไปด้วย
ส่วน ภัตตาคารและจัดเลี้ยงขนาด 2,000 ตารางฟุต ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้บรรยากาศของบ้านต้นไม้ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นทะลุผ่านหลังคาขึ้นไป โดยมีการออกแบบฉากกั้นใบไม้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้กิ่งไม้ ใบไม้ร่วงหล่นลงมาข้างใน เมนูอาหารส่วนหนึ่งก็บรรจุรายการอาหารของท้องถิ่น เข้าไป เพื่อช่วยส่งเสริมการผลิตของท้องถิ่นอีกด้วย
นอก จากนี้ ยังมีร้านค้าของที่ระลึก บริเวณเด็กเล่น สะพานแขวน และทางเดินเชื่อมลักษณะต่างๆ แม้กระทั่งทางลาดสำหรับคนพิการ ก็มีให้เข้ามาร่วมในกิจกรรมต่างๆได้ โดยที่นี่สามารถรองรับคนพร้อมๆกันทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 440 คน
นอก จากนี้ ในอนาคตทาง Alnwick Garden ยังมีแผนที่จะสร้าง ส่วนผจญภัยในดงไม้เพิ่มเติม เพื่อเป็นสวนสนุก สำหรับเด็กๆทั้งหลาย ที่จะต้องออกแบบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์ในการเล่น เช่นสะพานเชือกเขาวงกต ทางเดินลอยฟ้า หุบผาธรรมชาติจำลอง และส่วนที่ออกแบบพิเศษสำหรับเด็กเล็ก และเด็กพิการ รองรับเด็กๆและผู้ปกครองได้ถึง 1,000 คน ในเมืองไทยเรา ยังตามหลังเขาอยู่ในด้านการศึกษา ตอนนี้แค่ขยับเรื่องการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อยู่ เพราะล้าหลังเขามาก แต่ในด้านธรรมชาติ ก็น่าจะเริ่มได้แล้ว ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะสิ่งแวดล้อมนับวันมีแต่จะเสื่อมโทรมลง
ทำอะไรที่ก้าวทันเขา หรือล้ำหน้าเขาบ้าง ไม่ได้เชียวหรือ ประเทศไทย !!!
ขอบคุณข้อมูล : http://www.bloggang.com
เรื่องจาก
http://www.alnwickgarden.com/about_The_garden/features_treehouse.asp
http://damncoolpics.blogspot.com/2007_04_01_archive.html
http://www.thetreehouseguide.com/alnwick/alnwick.htm
ทำความรู้จัก "อีโคไล"
"อีโคไล" ??
แบคทีเรียชนิดที่มีในร่างกายมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับแบคทีเรียที่มีชื่อว่า อีโคไล หรือ Escherichia ซึ่งพบได้ในลำไล้ของมนุษย์และสัตว์ สามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ และอาการท้องร่วง เป็นต้น แบคทีเรียชนิด อีโคไลจะมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะในมูลสัตว์
หลังจากพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ระบาดในประเทศอังกฤษ จึงนำข้อมูลเกี่ยวกับแบคทีเรียชนิดนี้มาให้ได้รู้จักกันเพื่อเป็นการป้องกัน และรับมือหากได้รับเชื้อชนิดนี้
เชื้ออีโคไล แพร่สู่คนได้อย่างไร เชื่อแบคทีเรียอีโคไลจะแพร่สู่คนได้จากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อชนิดนี้มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ได้รับการปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ
จำนวนผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
หน่วยงานด้านการป้องกันโรคในประเทศอังกฤษรายงานว่าในปี 2551 มีผู้ได้รับเชื้ออีโคไลและมีอาการป่วยที่เกิดจากการได้รับเชื้อ 950 ราย
การระบาดของเชื้ออีโคไล
การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลเริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษและคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 20 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่รับประทานอาหารขณะร่วมพิธีในโบสถ์แห่งหนึ่งในปี 2539-2540
อาการของผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
จะพบอาการแต่เริ่มท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งเกิดภาวะลำไส้อักเสบและมีอาการเลือดออกไม่หยุด เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและพบเลือดปนกับอุจจาระ
ระยะฟักตัวของเชื้ออีโคไล ระยะฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ประมาณ 3-8 วัน และจะปรากฏอาการในช่วง 3-4 วันหลังการได้รับเชื้อ แม้ว่าผู้ได้รับเชื้อจะสามารถนำเชื้อ ชนิดนี้ออกจากร่างกายได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่เชื้อส่วนที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยยังสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่นเกิดภาวะไตเสื่อม ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
ผู้เสี่ยงได้รับเชื้ออีโคไล เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จะเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้ออีโคไลมากที่สุด เนื่องจากร่างกายของคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อได้น้อยกว่า คนทั่วไป
การป้องกันและรักษาเมื่อได้รับเชื้ออีโคไล
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาอาการที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิด นี้โดยตรง ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น แต่ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดกลุ่มสเตอรอยด์ เช่นยาแอสไพริน เพราะยากลุ่มนี้จะมีผลทำลายไตของผู้รับประทาน นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการได้รับเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
สธ.ออก 4 มาตรการป้องกัน
เชื้อ แบคทีเรียอี-โคไล มีทั้งหมด 5 ชนิด ซึ่งชนิดที่ 5 เป็นชนิดที่มีความรุนแรงมากที่สุดที่มีการแพร่ระบาดและเป็นปัญหาที่สหภาพ ยุโรปขณะนี้ คือ โอ 104(O 104)และจะมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงแตกส่งผลทำให้ไตวายด้วย การแพร่ระบาดติดต่อได้ทางอาหารและน้ำ
สำหรับในประเทศไทยจนถึงปัจจุบันนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันยังไม่เคยพบ เชื้อแบคทีเรียอี-โคไล ชนิด โอ 104 แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามจากการหารือในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการกำหนดมาตรการทั้งหมด 4 ข้อ คือ
1. เรื่องการป้องกันและการเฝ้าระวังซึ่ง สิ่งที่จะดำเนินการถัดจากนี้จะมีการแจกเอกสารให้ความรู้ การปฏิบัติตัว สำหรับผู้ที่เดินทางจากสหภาพยุโรป โดยเฉพาะ 12 ประเทศ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในสายการบินต่างๆ โดยจะมีการให้ข้อมูลเบื้องต้นประกอบกับการให้คำแนะนำ สถานที่ให้คำปรึกษา หากสงสัยตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ด่านควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขที่มีในทุก สนามบิน หากพบว่ามีอาการเช่นถ่ายเป็นเลือด และมีมูกเลือดด้วยและเดินทางมาจาก 12 ประเทศในสหภาพยุโรป ให้พบแพทย์ทันที นอกจากนั้นจะมีการให้ความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มทัวร์ต่างๆที่นำลูกทัวร์มา จากประเทศสหภาพยุโรป เพื่อให้ช่วยดูแลหากพบลูกทัวร์ที่มีอาการผิดปกติในลักษณะเข้าข่ายให้พาไปพบ แพทย์ทันที
ส่วน ประชาชนทั่วไปขอแนะนำให้ใช้มาตรการเดิม คือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอี-โคไล โอ 104 ติดต่อทางอาหารและน้ำ ดังนั้นมาตรการนี้จึงมีความเหมาะสม
มาตรการที่ 2 คือเรื่องการตรวจอาหารนำเข้าจากสหภาพยุโรป ทำการสุ่มตรวจ ผัก ผลไม้ ที่นำเข้ามาจากสหภาพยุโรป โดยเฉพาะใน 12 ประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเยอรมัน เพื่อตรวจหาเชื้อ โอ 104
มาตรการที่ 3 คือ เรื่องการรักษาพยาบาลจะ มีการสั่งการให้โรงพยาบาลทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชนให้ใช้มาตรการเดียวกัน คือการดูแลผู้ป่วย 2 กลุ่มเป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ กลุ่มที่ถ่ายเหลว มีน้ำหรือมูกปนเลือด หรือกลุ่มที่ถ่ายเป็นมูกเลือดและมีไตวายเฉียบพลัน และมีประวัติเดินทางกลับจากสหภาพยุโรปในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มป่วย โดยให้ใช้มาตรการ 3 ข้อ คือ
1.แพทย์ต้องให้การรักษาทันทีตามอาการ ซึ่งจะมีคู่มือและมาตรการทางการแพทย์อยู่แล้ว
2.ต้องเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกราย และ
3.ต้องดำเนินการสอบสวนโรค หากพบผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในข่าย
มาตรการที่ 4 กรมควบคุมโรคจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักขณะนี้ในการติดตามเฝ้าระวังและประสานงานในการแก้ปัญหาทั้งหมดในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับเชื้ออี – โคไล ดังกล่าว
เชื้อนี้ติดต่อกันได้โดยการปนเปื้อนทางน้ำและอาหาร ซึ่งไม่เหมือนโรคไข้หวัด 2009 ที่เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจซึ่งติดต่อได้ง่าย เพราะฉะนั้นมาตรการแก้ปัญหาต้องมีความเหมาะสม หากทำมากไปจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องตอบโต้ระหว่างประเทศ หากน้อยไปประชาชนจะไม่ได้รับการคุ้มครอง สิ่งที่พิจารณาได้ทำอย่างถ้วนถี่แล้ว โรคนี้หากเราติดตามสถานการณ์จนถึงวันนี้ เชื่อว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนเนื่องจากเริ่มหาสาเหตุต้นตอการเกิดโรคได้แล้วว่าเกิดจากอะไร
ในเรื่องการรักษาผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดแดงแตกทำให้เป็นพิษต่อไตทำให้เกิดไต วายเฉียบพลัน วิธีช่วยเหลือที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนถ่ายเลือด(Blood exchange)เพราะหากปล่อยไว้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์จะมีหลายแบบ แต่แบบที่จะต้องถ่ายเลือดคือแบบไตวายเฉียบพลันร่วมกับมีอาการโลหิตจาง ถ่ายเป็นเลือด หากเป็นอาการอื่นจะรักษาตามอาการ
ไทยนำเข้าผัก ผลไม้จากยุโรปไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เช่นอโวคาโด ราสเบอรี่ แอปเปิ้ล ส่วนผักจะเป็น บร๊อคโครี่ พลาสลี่ ไม่มาก อย่างถั่วงอกในเบื้องต้นคาดว่าไม่มีนำเข้า ซึ่งในปี 2554 ที่นำเข้าผ่านด่านท่าเรือกรุงเทพ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีเฉพาะผักผลไม้ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรปมีเฉพาะจาก ประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เบลเยี่ยม เท่านั้น ส่วนประเทศเยอรมันยังไม่มีการนำเข้า โดยการตรวจจะสุ่มตัวอย่างออกมา 1 กิโลกรัมเพื่อส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ที่มา... Healthy.in.th / กระทรวงสาธารณสุข
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)